แพทย์แผนโบราณอีสาน
แพทย์แผนโบราณอีสาน หมอยาพื้นบ้านอีสาน
หรือจะเรียกให้เป็นสากลก็ว่า แพทย์แผนโบราณอีสานนั้น
การปรุงยาของเขาจะค้นคว้าหรือเลือกสรรสมุนไพรต่าง ๆ มาเป็นตัวยา
สุดแท้แต่ใครจะค้นคว้าทดลองจนเป็นสรรพคุณเป็นที่แน่ชัดว่าสูตรผสมของยาแต่ละขนาน
ปรือที่หมอยาพื้นบ้านเรียกว่า ยาซุม บางที่ก็เรียกควบกันไปว่า ยาซุมยาแฮน สูตรนั้น
ๆ ดีหรือ ชงัด หมอยาพื้นบ้านผู้เป็นเจ้าตำรับสูตรยาก็จะตั้งชื่อตัวยาต่าง
ที่เป็นส่วนประกอบในการผสมยาไว้เป็นปริศนา
การตั้งชื่อตัวยาเป็นปริศนานั้นอาจเป็นการสอนให้ผู้ที่มีความตั้งใจที่จะศึกษาหาความรู้ทางตำรายาพื้นบ้าน
ได้ใช้ความอุตสาหพยายามค้นหาคำตอบหรือความหมาย ของปริศนาตัวยาให้ได้
เมื่อทราบข้อเท็จจริงแล้วจะจดจำได้นานและถาวร
จึงนับว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่น่าศึกษายิ่ง
ตำรายาที่เป็นปริศนาและน่าสนใจควรนำมาเผยแพร่ต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วน
ขอนำมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้
ปริศนายาสมุนไพร
(ปริศนายากลางบ้าน)
ตำรารักษาโรคขี้กระยือ (โรคหืด) ยาซุมนี้ (ขนานนี้)
มีตัวยาประกอบด้วย
ยืนกลางน้ำ ช้ำทางใน หาบบ่หนัก ตักบ่เต็ม เค็มบ่จืด
ตัวยาทั้ง 5 นี้ หากผู้อ่านได้อ่านดูรายชื่อตังยาแต่ละชนิดแล้ว
ก็คงจะแปล
ความหมายได้ยาก
จึงขอนำคำอธิบายมาบันทึกไว้เพื่อให้ผู้สนใจใฝ่รูได้ทราบและนำไปใช้
คงจะเกิดผลดีต่อผู้ป่วยและสังคมได้บ้าง
คำอธิบายความหมายของตัวยา
ยืนกลางน้ำ
หมายถึง ต้นแก่นกลางของ หรือ ต้นกลางของ คำว่า กลางของ ในที่นี้ หมายถึง
กลางแม่น้ำโขง เพราะชื่อแม่น้ำโขง ชาวบ้านทั้งไทยและลาวจะเรียกว่า
แม่น้ำของต้นแก่นกลางของในภาษาไทยกลางจะเรียกว่า ต้นดอกปีบ หรือทางพายัพจะเรียก
กาซะลอง ใช้รากเป็นส่วนผสมยา ที่เรียกว่า ยืนกลางน้ำก็เนื่องจากชื่อที่ชาวบ้าน
เรียกว่า ต้นกลางของ นั่นเอง
ช้ำทางใน หมายถึง ต้นไข่เน่า
ฟังขื่อแล้วก็น่าจะช้ำหรือเน่าภายในเป็นแน่หมอยาพื้นบ้านจึงตั้งชื่อว่า ช้ำทางใน
ต้นไข่เน่า ภาษาไทยกลางก็เรียก ไข่เน่าเช่นเดียวกัน เป็นต้นไม้ขนาดกลาง สูง 8-12
เมตร ใบช่อหนึ่งมีใบย่อย 5 ใบ คล้ายใบงิ้ว ดอกเล็กสีม่วงอ่อนผลรูปไข่
ขนาดเท่าหัวแม่มือ สุกกินได้มีรสหวานเล็กน้อย ขึ้นตามป่าดิบและที่ราบลุ่มทั่วไป
ใช้รากเป็นตัวยา
หาบบ่หนัก หมายถึง ต้นกะเบา ซึ่งฟังชื่อแล้วเหมือนเบา
หาบคงไม่หนัก ต้นกะเบา เป็นต้นไม้ขนาดย่อมไปถึงขนาดใหญ่
มีหลายชนิดมักขึ้นในที่ชื้นแฉะ ผลมักกลมขนาดมะนาวไปถึงขนาดมะขวิดหรือส้มโอย่อม ๆ
เปลือกแข็งเป็นขนสีน้ำตาลแก่เกือบดำ บางชนิดภายในมีเนื้อเป็นแป้งสีเหลืองอ่อน ๆ
บางชนิดกินได้ บางชนิดกินแล้วเมาเบื่อก็มี ใช้รักษาได้หลายโรค เช่น โรคเรื้อน
โรคผิวหนัง และขับพยาธิ บางแห่งเรียกว่า กะเปา หรือ ง่าย้อย
ใช้รากเป็นตัวยาแก้โรคหืด
ตักบ่เต็ม หมายถึง ตันกะบก
ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบรูปไข่ ผลเท่ามะกอก หรือมะปรางขนาดเขื่อง
เม็ดในมีรสมันกินได้ หรือใช้ทำน้ำมั่นประกอบอาหาร บางที่เรียก ตระบก หรือ มะลื่น
ที่หมอยาเรียกตักบ่เต็ม เพราะคำว่า บก ในภาษาอีสาน หมายถึง การลดลง เช่น น้ำลด
ก็ว่า น้ำบก ดังนั้นการตักน้ำใส่โอ่งตักเท่าไรก็ไม่เต็ม
เพราะบกลงหรือลดลงอยู่ตลอดตามชื่อเรียกว่า ใช้แก่นเป็นส่วนผสมยา
เค็มบ่จืด
หมายถึง ต้นมะเกลือ
เอาความหมายจากคำว่าเกลือต้องมีความเค็มและรักษาความเค็มได้เสมอ
มะเหลือเป็นไม้ชนิดหนึ่ง แก่นสีดำใช้ย้อมผ้า ผลใช้เป็นยา ถ่ายพยาธิได้เช่นเดียวกัน
ใช้รากเป็นส่วนผสมยา
การปรุงยา ใช้ตัวยาทั้ง 5 ชนิด อย่างละ 5 ขีด
นำมาต้มเป็นน้ำดื่มให้คนป่วยโรคขี้กระยือ หรือ โรคหืด ดื่มประจำ 3 หม้อ โรคก็จะหาย
บางตำราจะใช้คาถาทางพระพุทธศาสนาเข้าช่วย จะให้ตัวยาขลังยิ่งขึ้น เช่น ท่องคาถา
“สักกัตวา พุทธระตะนัง” 3 จบ เป่าลงหม้อยาแล้วดื่ม จะหายเป็นปกติแล (นายจันทร์
นนทะเสน อายุ 70 ปี หมอยาพื้นบ้าน บ้านท่าควายตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง
จังหวัดนครพนม ให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 10 เมษายน
2528)
ชื่อปริศนายาอายุวัฒนะ
กลางอากาศ พาดหว่าไม้
ไหง้ธรณี หนีสงสาร
ไปนิพพานบ่กลับ
ไขปริศนายาอายุวัฒนะ
กลางอากาศ หมายถึง
น้ำผึ้งแท้ที่เป็นน้ำผึ้งเดือน 5 ตามธรรมชาติรวงผึ้งจะห้อยลงอยู่กลางอากาศ
จึงเรียกว่า กลางอากาศ
พาดหว่าไม้ หมายถึง บอระเพ็ด หรือที่ชาวบ้านเรียก
“เครือเขาฮอ” มีรสขม ใช้ทำยาป้องกันและรักษาโรคได้
บรเพ็ดจะเป็นเถาเลื้อยตามคาคบหรือกิ่งไม้จึงเรียกว่า พาดหว่าไม้มากใช้ทำยาไทย คำว่า
“ไหง้” หมายถึง แยกหรือแหวก หัวแห้วหมูจะดันแยกออกจึงเรียกว่า
“ไหง้ธรณี”
หนี้สงสาร หมายถึง เครือง้วนหมู เป็นไม้เถาชนิดหนึ่งมีรสขม ใบ
ดอก รับประทานได้ใช้ทำยาไทย ที่เรียก หนีสงสาร
เนื่องจากในพุทธประวัติก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น
พระองค์ได้สวยเนื้อสุกร จึงได้เรียกเครือง้วนหมูว่า หนีสงสาร หรือ
หนีวัฏสงสาร
ไปนิพพานบ่กลับ หมายถึง ขมิ้นขึ้น หรือ ขมิ้นชัน
คำว่าขมิ้นขึ้นนั้นจะมีลักษณะพิเศษ
จะมีแง่งหรือหัวขึ้นมาเรียงรายอยู่บนพื้นดินเป็นส่วนใหญ่
เหมือนกับว่าไม่กลับลงไปอยู่ดิน อีก จึงเรียก ไปนิพพานบ่กลับ
การผสมตัวยา
ให้เอาตัวยาตั้งแต่ข้อ 2-5 ผึ่งแดดให้แห้ง บดให้ละเอียด ผสมกั่นแล้วใช้น้ำผึ้งเดือน
5 ผสมให้เหนียวปั้นเป็นลูกกลอน ผึ่งแดดหรืออบให้พอแห้ง เก็บไว้รับประทานก่อนนอน
จะทำให้อายุยืนนับ 100 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
ผักกวางตุ้ง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Brassica chinensis Jusl var parachinensis (Bailey) Tsen & Lee
วงศ์
Cruciferae
ชื่อสามัญ
Chinese Cabbage-PAI TSAI
ลักษณะ
คุณค่าทางอาหาร
คุณค่าด้านสมุนไพร
Brassica chinensis Jusl var parachinensis (Bailey) Tsen & Lee
วงศ์
Cruciferae
ชื่อสามัญ
Chinese Cabbage-PAI TSAI
ลักษณะ
ผักที่นิยมบริโภคกันมาก ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว อายุการเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 35-45 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง นำมาประกอบอาหารประเภทผัด แกงจืด ผักจิ้ม เป็นต้น สามารถปลูกได้ทุกฤดูและนิยมปลูกกันทั่วประเทศทั้งในรูปของสวนผักการค้า
ราก เป็นระบบรากแก้ว อยู่ในระดับตื้น ส่วนที่ใหญ่สุดของรากแก้ว ประมาณ 1.20 เซนติเมตร มีรากแขนงแตกออกจากรากแก้วมาก โดยรากแขนงแผ่อยู่ตามบริเวณผิวดิน รากแก้วอาจมีขนาดใหญ่ขึ้น ถ้าดินมีสภาพชื้นและเย็น
ลำต้น ตั้งตรง มีสีเขียว ขนาดโตเต็มที่ใช้รับประทานได้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.4-1.8 เซนติเมตร สูงประมาณ 43-54 เซนติเมตร ก่อนออกดอกลำต้นจะสั้น มีข้อถี่มากจนดูเป็นกระจุกที่โคนต้น เมื่อออกดอกแล้วในระยะติดฝักต้นจะสูงขึ้นมาก โดยเฉลี่ยสูงประมาณ 85-144 เซนติเมตร
ใบ ใบเลี้ยงมี 2 ใบ มีสีเขียว ปลายใบตรงกลางจะเว้าเข้า ส่วนใบจริงจะแตกเป็นกระจุกที่บริเวณโคนต้น เป็นใบเดี่ยว ใบเรียบไม่ห่อหัว สีเขียว ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ขอบใบเป็นรอยฟันเลื่อยเล็กมาก ใบแก่ผิวใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ไม่มีขน ของใบเรียบหรืออาจมีรอยเว้าตื้นๆ ขนาดเล็กโคนใบหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบมน ก้านใบที่ติดกับลำต้นมีสีเขียวอ่อนเป็นร่องและเรียวกลมขึ้นไปหาแผ่นใบ ก้านใบหนาและมีสีขาวอมเขียว สำหรับใบที่ช่อดอกจะมีก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร รูปใบเรียวแหลมไปทางฐานใบและปลายใบ ขอบใบเรียบ
ช่อดอกและดอก ผักกาดเขียวกวางตุ้งจะออกดอกเมื่ออายุประมาณ 55-75 วัน ช่อดอกยาว 50-90 เซนติเมตร ดอกตูมรวมกลุ่มอยู่บนยอดดอกช่อดอก ดอกบานจากด้านล่างไปหาด้านบน ดอกที่บานแล้วมีก้านดอกยาวกว่าดอกที่ตูม ดอกเป็นแบบสมบูรณ์เพศ ขนาดดอก 1-1.5 เซนติเมตร กลีบชั้นนอกสีเขียวอ่อน 4 อัน ขนาดเล็กกลีบกว้าง 0.1-0.2 เซนติเมตร ยาว 0.7-0.8 เซนติเมตร กลีบชั้นในสีเหลืองสด 4 อัน แยกเป็นกลีบๆ ขนาดกลีบกว้าง 0.5-0.6 เซนติเมตรยาว 1.1-1.2 เซนติเมตรมีเกสรตัวผู้ 6 อัน อับเกสรสีเหลืองแก่ ก้านชูเกสรสีเหลือง รังไข่ยาว 0.5-0.6 เซนติเมตร ซึ่งอยู่เหนือกลีบดอกและเกสรตัวผู้ก้านเกสรตัวเมียสีเขียว ยาว 0.2-0.25เซนติเมตร ยอดเกสรตัวเมียเป็นตุ่มสีเหลืองอ่อน ดอกบานในตอนเช้าประมาณเวลา 08.00 น.
ผล ผลมีลักษณะเป็นฝัก รูปร่างเรียวยาว แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนปลายไม่มีเมล็ด ยาวประมาณ 0.9-1.5 เซนติเมตร และส่วนที่มีเมล็ดยาวประมาณ 3-4.1 เซนติเมตรกว้าง 0.3-0.5 เซนติเมตร ก้านผลยาว 1.3-2.5 เซนติเมตร ผลตั้งขึ้น เมื่อผลแก่จะแตกตามยาวจากโคนไปหาปลายผลเมื่ออ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีน้ำตาล
เมล็ด ค่อนข้างกลม มีทั้งสีน้ำตาลและสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผิวเมล็ดมีลายแบบร่างแห เห็นไม่ค่อยชัด น้ำหนัก 1,000 เมล็ดประมาณ 2.5 กรัม
ผักกาดเขียวกวางตุ้งที่ปลูกมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ที่นิยมปลูกและบริโภคกันมากคือ ผักกาดเขียวกวางตุ้งใบ สำหรับพันธุ์ผักกาดเขียวกวางตุ้งใบที่ทางกรมวิชาการเกษตรส่งเสริมแนะนำคือ พันธุ์น่าน 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับการคัดเลือกพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตร ลักษณะประจำพันธุ์ เป็นผักกาดชนิดไม่ห่อปลี ส่วนกลางของก้านใบค่อนข้างหนา ใบมีสีเขียวอ่อน ความยาวเฉลี่ย 19.5 เซนติเมตร (อายุ 40 วัน) ความหนาของก้านใบเฉลี่ย 0.9 เซนติเมตร ความกว้างเฉลี่ย 1.3 เซนติเมตร ใบสีเขียว ลักษณะยาวรี ความยาวของใบเฉลี่ย 30 เซนติเมตร กว้าง 19 เซนติเมตร ความสูงเมื่ออายุ 40 วัน เฉลี่ย 57.26 เซนติเมตร น้ำหนักต้นเฉลี่ย 550 กรัม ออกดอกเมื่ออายุ 50 วัน
ลักษณะเด่นของพันธุ์น่าน 1 คือ เป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตเร็ว อายุสั้น เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุระหว่าง 30-40 วัน น้ำหนักเฉลี่ยต่อต้นสูง ต้นไม่แตกแขนงทำให้เสียหายน้อยในการบรรจุเพื่อการขนส่ง ไม่ออกดอกก่อนอายุ 40 วัน จึงสามารถทยอยเก็บเกี่ยวส่งตลาดได้ตั้งแต่อายุ 30-40 วัน แต่ข้อเสียของพันธุ์น่าน 1 ก็คือ ไม่ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง
ผักกาดเขียวกวางตุ้งสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะเจริญได้ดีที่สุดในสภาพดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี มีอินทรีย์วัตถุสูง ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) ควรอยู่ระหว่างสภาพเป็นกรดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง คือ pH อยู่ระหว่าง 6-6.8 ชอบดินที่มีความชื้นสูงเพียงพอสม่ำเสมอ ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตามในประเทศไทยสามารถปลูกผักกาดเขียวกวางตุ้งได้ตลอดปี
คุณค่าทางอาหาร
ผักกวางตุ้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยโปรตีน 1.2 กรัม คาร์โบไฮเดรด 3.2 กรัม น้ำตาล 1.4 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม เส้นใย 1.2 กรัม โซเดียม 9 มิลลิกรัม
คุณค่าด้านสมุนไพร
กวางตุ้งช่วยลด การเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งโรค กล้ามเนื้อเสื่อม
กระเทียม
กระเทียม


ชื่อวิทยาศาสตร์
Allium sativum Linn.
วงศ์
Alliaceae
ชื่อท้องถิ่น
กระเทียมขาว (อุดรธานี) กระเทียมจีน (กทม.,กลาง) ปะเซ้วา (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) หอมขาว (อุดรธานี) หอมเทียม (เหนือ) หัวเทียม (ใต้)
ลักษณะ
- พืชล้มลุก สูง 40-80 ซม. มีหัวใต้ดิน (bulb) ซึ่งแบ่งเป็นกลีบเล็กๆ ได้หลายกลีบ แต่ละกลีบมีกาบใบแห้งๆ หุ้มไว้ในลักษณะแคบยาว กว้าง 1 - 2.5 ซม. ยาว 30 - 60 ซม. ปลายแหลม ดอกช่อ แทงจากลำต้นใต้ดิน
- ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกมี 6 อัน สีชมพู ผลแห้ง แตกได้
- สามารถปลูกได้ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่ากระเทียม กลีบเล็กพันธุ์จาก จังหวัดศีรษะเกษ มีสารสำคัญมากที่สุด
ข้อมูลสารระเหยในกระเทียม
สารเคมีในหัวกระเทียม คือ
1 น้ำมันหอมระเหย Essential oil โดยทั่วไปกระเทียมจะมีน้ำมันหอมระเหยประมาณร้อยละ 0.6-1 ในน้ำมันหอมระเหย มีสารเคมีที่มีกำมะถันเป็นองค์หระกอบหลายชนิด ตัวที่สำคัญก็คือ "อัลลิซิน"
2 มี Sulfane dimethy dipropl-disulfide sllinase "อัลลิซิน"
เป็นน้ำมันไม่มีสี ละลายได้ในน้ำ ในแอลกอฮอล์ เบนซิน และอีเทอร์ ถ้ากลั่นโดยใช้การร้อนโดยตรง จะถูกทำลาย"อัลลิซิน"ได้รับความสนใจและแยกสกัดบากกว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิดด้วยกัน หัวกระเทียมสามารถลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด ได้ทั้งคนปกติและคนไข้ที่มีโฆเลสเตอรอลสูง
สรรพคุณทางสมุนไพร
1 รสเผ็ดร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้กลากเกลื้อน แก้ไอ ขับเสมหะช่วยย่อยอาหาร ปวดฟัน ปวดหู โรคผิวหนัง ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม
2 ใช้กระเทียมและขิงสดย่างละเท่ากัน ตำละเอียด ละลายกับน้ำอ้อยสด คั้นน้ำจิบแก้ไอกัดเสมหะ และทำให้เสมหะแห้ง โดยสารที่ออกฤทธิ์ เป็นยาแก้ไอ คือ allicin ซึ่งละลายน้ำได้ และถูกทำลายด้วยความร้อน
3 กระเทียมรักษากลากเกลื้อน ซึ่งเป็นผลจาก allicin มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราได้หลายชนิด ทำได้โดยการฝานกลีบกระเทียม แล้วนำมาถูบ่อยๆ หรือตำคั้นเอาน้ำบริเวณที่เป็น โดยใช้ไม้เล็กๆ หรือไม้ไผ่ที่สะอาดขูดบริเวณที่เป็น พอให้ผิวแดงอ่อนๆ ก่อน แล้วจึงเอาน้ำกระทียมขยี้ทา ทาบ่อยๆ วันละ 3-4 ครั้ง เมื่อหายแล้ว ทาต่ออีก 7 วัน
4 ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
5 ลดความดันโลหิตสูง
6 ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
7 ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
8 ลดน้ำตาลในเลือด
9 ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
10 ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
11 รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
12 เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
13 รักษาโรคไอกรน
14 แก้หืดและโรคหลอดลม
15 แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
16 ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
17 ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
18 แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
19 แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย
20 ต่อต้านเนื้องอก
21 กำจัดพิษตะกั่ว
22 บำรุงร่างกาย ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย
23 กระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า
กระชาย
กระชาย


ชื่อวิทยาศาสตร์
Boesenbergia rotunda (Linn.) Mansf. ,Boesenbergia pandurata (Roxb.) Schltr. ,Gastrochilus panduratus Ridl.
วงศ์
Zinggberaceae
ชื่อท้องถิ่น
กะแอน ระแอน(ภาคเหนือ) ขิงทรา(มหาสารคาม) ว่านพระอาทิตย์(กรุงเทพฯ)
ลักษณะ
1 กระชายเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า
2 มีรากติดเป็นกระจุกเป็นที่สะสมอาหารเป็นรูปทรงกระบอก ปลายเรียวแหลม มีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีเหลืองอมแดง มีกลิ่นหอม
3 คนไทยรู้จักกระชายในฐานะเครื่องปรุงอาหาร ดับกลิ่นในอาหารจำพวกแกงต่างๆ โดยใช้เป็นกระจำในครัวเรือน
สารสำคัญ
1 น้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 0.08% เช่น 1,5-Cineol ,Boesenbergin A ,Camphor ,Camphene และ Thujene (ช่วยดับกลิ่นคาว ทำให้กระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น ) เป็นต้น
2 มีสารกลุ่ม Flavonoid และ chalcone ด้วย
สรรพคุณทางสมุนไพร
รสเผ็ดเล็กน้อย ขมนิดหน่อย ใช้แก้ปวดมนในท้องไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อใช้
1 แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ท้องร่วง ปวดมวนในท้อง
2 แก้บิด
3. ขับระดู ขับระดูขาว
4. บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน
5. บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย
6. แก้โรคในปาก
7. ขับปัสสาวะ
8. แก้โรคขาดประจำเดือน
9. แก้ลมแน่นหน้าอก แก้หัวใจสั่น
คุณค่าทางอาหาร
1 กระชายมีรสเผ็ดพบสมควร จึงช่วยดับกลิ่นคาวได้ นำไปปรุงกับอาหารได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอาหารไทยเราเช่น แกงเลียง แกงขี้เหล็ก ผัดเผ็ดปลาดุก ฯลฯ
2 ในรากเหง้าของกระชายมี แคลเซียม เหล็กมาก นอกจากนั้นยังมีเกลือแร่ต่างๆและวิตามิน เอ วิตามิน ซี อีกด้วย
เพิ่มเติม
1.รักษาอาการแน่นจุกเสียด ใช้เหง้า หรือรากประมาณครึ่งกำมือ น้ำหนักสด 5-10 กรัม แห้ง 2-5 กรัม ทุบพอแตก ต้มกับน้ำพอเดือด ดื่มแต่น้ำ
2.ใช้รากกระชายบำบัดอาการ ED (Erectile Dysfuntional) หรือโรคนกเขาไม่ขัน โดยกินทั้งราก
วิธีที่ 1 ใช้ตำราแก้ฝ้าขาวในปาก อาการจะเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังวันที่ 3-4
วิธีที่ 2 รากกระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ 1 แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ 2 แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2 ถ้าไม่เห็นผลกินอีก 2 แคปซูลก่อนอาหารเย็น หรือกลับไปใช้วิธีที่ 1 จะเริ่มกินบอกภรรยาด้วย ถ้าได้ผลแล้วภรรยาบ่นให้ภรรยากินด้วยเหมือนๆ กัน
วิธีที่ 3 เพิ่มกระชายในอาหาร ทำเป็นกับข้าวธรรมดาก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ (ทุบแบบหัวข่า) แกงเผ็ด (หั่นเป็นฝอย) กินทุกวัน พร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เห็นผลในหนึ่งเดือน เนื่องจากในรากกระชายมีสารที่ออกฤทธิ์คลายการหดตัวของผนังหลอดเลือดในกลุ่มยารักษาอีดี กลุ่มที่ 3 (ยาที่มีผลต่อการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ สารกลุ่ม prostanoids (PGE1), ไนตริก ออกไซด์ และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไนตริกออกไซด์ (ได้แก่ nitric oxide synthase)) โดยไม่พบรายงานความเป็นพิษเมื่อบริโภคในระดับที่เป็นอาหาร
3.บำบัดโรคกระเพาะ กินรากสดแง่งเท่านิ้วก้อยไม่ต้องปอกเปลือก วันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที สัก 3 วัน ถ้ากินได้ให้กินจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้าเผ็ดร้อนเกินไปหลังวันที่ 3 ให้กินขมิ้นสดปอกเปลือกขนาดเท่ากับ 2 ข้อนิ้วก้อยจนครบ 2 สัปดาห์
4.บรรเทาอาการแผลในปาก ปั่นรากกระชายทั้งเปลือก 2 แง่งกับน้ำสะอาด 1 แก้วในโถปั่นน้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟโบราณ กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้กลั้วปากวันละ 3เวลาจนกว่าแผลจะหาย ถ้าเฝื่อนเกินไปให้เติมน้ำสุกได้อีก ส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งใช้เก็บในตู้เย็นได้ 1 วัน
5.แก้ฝ้าขาวในปาก บดรากกระชายที่ล้างสะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ในโถปั่นพอหยาบใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น กินก่อนอาหารครั้ง ละ 1 ช้อนกาแฟเล็ก(เหมือนที่เขาใช้คนกาแฟโบราณ) วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร 15 นาที:7 วัน
6.ฤทธิ์แก้กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า คันศีรษะจากเชื้อรา นำรากกระชายทั้งเปลือกมาล้างผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่น แล้วบดให้เป็นผงหยาบ เอาน้ำมันพืช (อาจใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้) มาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชายใช้น้ำมัน 3 เท่าของปริมาณกระชาย (คนไปคนมาอย่าให้ไหม้) ไฟอ่อนๆ ไปสักพักราว 15-20 นาที กรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ในขวดแก้วสีชาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน
7.แก้คันศีรษะจากเชื้อรา ให้เอาน้ำมันดังกล่าวไปเข้าสูตรทำแชมพูสระผมสูตรน้ำมันจากที่ไหนก็ได้ โดยใช้แทนน้ำมันมะพร้าวในสูตร ประหยัดเงินและได้ภูมิใจกับภูมิปัญญาไทยหรือจะใช้น้ำมันกระชายโกรกผม ให้เพิ่มปริมาณน้ำมันพืชอีก 1 เท่าตัว โกรกด้วยน้ำมันกระชายสัก 5 นาที นวดให้เข้าหนังศีรษะ แล้วจึงสระผมล้างออก
8.ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ ผงกระชายทั้งเปลือกบดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ 3 ลูกก่อนเข้านอน ตำรับนี้เคยมีผู้รายงานว่าใช้ลดน้ำตาลในเลือดได้ หรือใช้กระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ 1 แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ 2 แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2
9.ฤทธิ์บำรุงหัวใจ นำเหง้าและรากกระชายปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด หั่นตากแห้ง บดเป็นผง ใช้ผงแห้ง 1 ช้อนชาชงน้ำดื่มครึ่งถ้วยชา
กระเจี๊ยบมอญ
กระเจี๊ยบมอญ


ชื่อสามัญ: Ladies' Finger, Lady's Finger, Okra
ชื่อพื้นเมือง:
กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทวาย มะเขือมอญ(ภาคกลาง),มะเขือพม่า มะเขือมื่น มะเขือละโว้ (ภาคเหนือ/ลำปาง)
ชื่อพฤกษศาสตร์
Abelmoschus esculetus (L.) Moench., Hibiscus esculentus L.
ชื่อวงศ์: MALVACEAE
ลักษณะ
1 ไม้ล้มลุก สูง 0.5-2 ม. มีขนทั่วไป
2 ใบเดี่ยว เรียงสลับรูปไข่หรือค่อนข้างกลม กว้าง 10-30 ซม. ปลายหยักแหลม โคนเว้ารูปหัวใจ
3 เส้นใบออกจากโคนใบ 3-7 เส้น
4 ดอกใหญ่ ออกเดี่ยวตามง่ามใบ มีริ้วประดับ เป็นเส้นสีเขียว 8-10 เส้น เรียงเป็นวงรอบโคนกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง โคนกลีบสีม่วงแดง รูปไข่กลับหรือค่อนข้างกลม
5 เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ก้านชูอับเรณูติดกันเป็นหลอดยาว 2-3 ซม. หุ้มเกสรเพศเมียไว้
6 อับเรณูเล็กจำนวนมากติดรอบหลอด ก้านเกสรเพศเมียเรียวยาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก
7 ยอดเกสรเพศเมียเป็นแผ่นกลมขนาดเล็ก สีม่วงแดง ยื่นพ้นปากหลอดดอก
8 ผลเป็นฝักห้าเหลี่ยม ปลายเรียวแหลม มีขนทั่วไป มีเมล็ดมาก
9 เมล็ดรูปไต ขนาด 3-6 มม.
สาระประโยชน์
1 ฝักอ่อน มีคุณค่าทางอาหารสูง กินได้ ในต่างประเทศบรรจุเป็นอาหารกระป๋องหรืออาหารแช่แข็ง
2 เมล็ดแก่ มีน้ำมันมาก กากเมล็ดมีโปรตีนเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์
3 เส้นใย จากต้นใช้ทำเชือกและกระดาษ นอกจากนี้โรงงานผลิตน้ำตาลบางแห่งในอินเดียยังนำเมือกจากต้นมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด
4 สำหรับการใช้ประโยชน์ทางยาแผนโบราณของจีน ราก เมล็ด และดอกใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
ประโยชน์ด้านสมุนไพร
1 ผลอ่อน ใช้เป็นผักจิ้มประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี และไนอาซิน
- มีสารเมือกและ เพคติน ใช้แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยนำผลแห้งมาป่นเป็นผงละเอียดชงกับน้ำร้อน รับประทาน เป็นยาหล่อลื่นในโรคโกโนเรียระงับพิษ
ขับปัสสาวะ
- แก้พยาธิตัวจิ๊ด โดยเอาผลกระเจี๊ยบมอญที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหารกิน เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริกหรือทำแกงส้ม กินวันละ ๓ เวลาทุกวัน วันละ ๔ - ๕ ผล ติดต่อกันอย่างน้อย ๑๕ วัน
2 กลีบเลี้ยง มีสารแอนโทไซยานิน และกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดแอสคอบิก (วิตามินซี) กรดซีตริก กรดมาลิก และกรดทาทาริก ทำให้มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินเอ และเพคติน กลีบเลี้ยง ปรุงเป็นเครื่องดื่ม ผลไม้กวน และแยม
ข้อแนะนำ
เวลาต้มต้องให้สุกจริงๆ ถ้าไม่สุกจะเหม็นเขียว กินแล้วจะเป็นอันตรายเกิดการเบื่อเมาได้
ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาว


ชื่อวิทยาศาสตร์ Vigna unguiculata Hc
วงศ์ LEGUMINOSAE
ชื่อสามัญ Yard long Bean
ลักษณะ ทั่วไป
1 ถั่วฝักยาว จัดเป็นพืชผักในตระกูลถั่ว ปลูกได้ตลอดปี แต่ปลูกได้ผลที่สุดคือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤศจิกายน เป็นผักชนิดหนึ่งที่ชาวเอเซียนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะชาวฮ่องกงและสิงคโปร์ ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมันตะวันตก ตลอดจนประเทศทางแถบตะวันออกกลางก็นับว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างจะมีความต้องการสูง
2 ถั่วฝักยาว เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย นอกจากจะใช้ปรุงอาหาร บางชนิดใช้บริโภคสดในชีวิตประจำวันแล้ว ยังใช้เป็นวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรมบรรจุกระป๋องและแช่แข็ง
3 ถั่วฝักยาวมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนและอินเดีย เป็นพืชตระกูลถั่งที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย การเลื้อยของเถา มีทิศทางการพันทวนเข็มนาฬิกา
4 ถั่วฝักยาวจะช่วยปรับปรุงบำรุงดินด้วย เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ระบบรากของพืชตระกูลถั่วจะมีการตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาไว้ในดิน เป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่างเป็นเถาเลื้อย เถาแข็งและเหนี่ยว คล้ายกับถั่วพู แต่มีอายุเพียงปีเดียว หรือฤดูเดียว เถาสีเขียวอ่อน ลำต้นม้วนพันสิ่งยึดเกาะได้ดี ไม่มีมือเกาะ ใบประกอบแบบฝ่ามือ มี 3 ใบย่อย รูปสามเหลี่ยมยาว 6-10 เซนติเมตร ดอกช่อออกตามซอกใบ กลีบดอกสีขาว หรือน้ำเงินอ่อน ผลเป็นฝักกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-1 เซนติเมตร ยาว 20-80 เซนติเมตร มีหลายเมล็ด
สาระประโยชน์
1 ใบ ใช้สด 60-100 กรัม ต้มกับน้ำ เป็นยารักษาโรคหนองในและปัสสาวะเป็นหนอง
2 เปลือกฝัก ใช้สด 100-150 กรัม ต้มกิน ใช้ภายนอกโดยการพอกตำ จะเป็นยารักษาอาการปวดบวม ปวดตามเอว และแผลที่เต้านม
3 เมล็ด ใช้แห้งหรือสดต้มกินกับน้ำหรือคั้นสด จะมีรสชุ่มชื่น เป็นยาบำรุงม้ามและไต แก้กระหายน้ำ อาเจียน ปัสสาวะกระปริบปรอย และตกขาว
4 ราก ใช้สดต้มกับน้ำหรือตุ๋นกินเนื้อ ใช้รักษาภายนอกโดยการพอก หรือนำมาเผาแล้วบดให้เป็นผงละเอียดผสมกับน้ำทา ใช้เป็นยารักษาโรคหนองในที่มีหนองไหล บำรุงม้าม ส่วนการใช้ภายนอกนั้น ใช้รักษาฝีเนื้อร้ายและช่วยให้เนื้อเจริญเร็วขึ้น
สาระประโยชน์ในการเป็นสมุนไพร
1 ใบ ใช้สดประมาณ 60-100 กรัม ใช้ต้มน้ำกิน เป็นยารักษาโรคหนองใน และปัสสาวะเป็นหนอง
2 เปลือกฝักใช้สดประมาณ 100-150 กรัม นำมาต้มกินใช้รักษาภายนอก โดยการตำพอก และเป็นยาระงับอาการปวดบวม ปวดตามเอว และแผลที่เต้านม
3 เมล็ด ใช้แห้งหรือใช้สดประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้มน้ำกินหรือกินสด จะมีรสชุ่ม เป็นยาบำรุงม้าม และไต กระหายน้ำ อาเจียน ปัสสาวะกะปริบกะปรอย และตกขาว
4 ราก : ใช้สดประมาณ 60-100 กรัม นำมาต้มกับน้ำ หรือตุ๋นกับเนื้อกิน ใช้รักษาภายนอกโดยการตำพอก หรือจะนำมาเผาให้เป็นเถ้า แล้วบดให้เป็นผงละเอียดผสมทา หรือใช้กินเป็นยารักษาโรคหนองในที่มีหนองไหลบำรุงม้าม รักษาบิด บำรุงม้าม ส่วนการใช้รักษาภายนอกโดยการตำพอกนั้นใช้รักษาฝีเนื้อร้าย และช่วยให้เนื้อเจริญเร็วขึ้น
5 . ใช้ฝักสดเคี้ยวกิน หรือตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำกิน ใช้รักษาอาการท้องอืดและแน่น เพราะกินมากเกินไป เรอเปรี้ยว
6 ใช้รากสดนำมาผสมกับรากเถาตดหมาตดหมู นำมาตุ๋นกับเนื้อวัวกิน สำหรับเด็กที่เบื่ออาหาร เนื่องจากกระเพาะอาหาร ทำงานไม่ดี
7 เมล็ด และผักบุ้ง นำมาตุ๋นกับเนื้อไก่กิน รักษาอาการตกขาวของสตรี
8 ใช้เมล็ดหรือฝักสด นำมาต้มน้ำผสมกับเกลือใช้กินทุกวัน เพื่อเป็นยาบำรุงไต
ข้าวโพดอ่อน
ข้าวโพดอ่อน


ชื่อวิทยาศาสตร์ Zea mays Linn.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่อสามัญ Baby Corn.
ชื่อท้องถิ่น ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) , กฏุกกโรหินี (ภาคกลาง)
ลักษณะ
- ข้าวโพดเป็นพืชพวกหญ้า มีลำต้นแข็งแรง และตั้งตรงคล้ายต้นอ้อย
- ความสูงของลำต้นแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อาจมีความสูงตั้งแต่ 30 เซนติเมตร ไปจนถึง 6 เมตร
- ลำต้นเป็นปล้องๆ อาจมีตั้งแต่ 8-20 ปล้อง |
- ใบยาวเรียวเกาะติดกับต้น
- ฝักข้าวโพดจะเกิดตรงข้ออยู่ตรงส่วนกลางของลำต้น โดยมีเปลือกเป็นกลีบบางๆ สีเขียว มีหลายชั้นห่อหุ้มอยู่เปลือกชั้นนอกมีสีเขียวแก่กว่าชั้นใน
- ปลายฝักมีเส้นเล็กๆ สีเขียวอ่อนใสบางเหมือนเส้นผม เรียกว่าไหมข้าวโพด หรือ ฝอยข้าวโพด
- ข้าวโพดต้นหนึ่งอาจมีหลายฝักก็ได้
- เมล็ดข้าวโพดที่เรารับประทานมีหลายสี เช่น สีนวล สีเหลือง สีม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยจะเกาะติดอยู่ตรงส่วนที่เป็นแกนกลางเรียกว่าซักข้าวโพด
สาระประโยชน์
- โดยจะประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม
- เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส เป็นสารประกอบกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน
- ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ
- ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย
- ถ้ากินข้าวโพดอ่อนเป็นประจำ จะช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ รักษาโรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง และจมูกอักเสบเรื้อรัง ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร กระตุ้นให้กระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้ข้าวโพดยังมีประโยชน์ในอุตสาหกรรมเครื่องอุปโภคหลายชนิด
เช่น
1 ทำสบู่, น้ำมันใส่ผม, น้ำหอม, กระดาษ, ผ้า ตลอดจนฝัก, ใบ, ลำต้น
2 ทำผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่าง อาทิ ปุ๋ย, วัตถุฉนวนไฟฟ้า
3 ซังข้าวโพดแห้งยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มได้
4 ข้าวโพดมีสรรพคุณทางยา อาทิ ช่วยบำรุงร่างกาย, หัวใจ, ปอด, ขับปัสสาวะ และนำมาพอกรักษาแผล
คุณค่าทางอาหาร
ข้าวโพดอ่อน 100 กรัม ให้พลังงาน 33 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 91.8 กรัม โปรตีน 2.3 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5.3 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 12 ไมโครกรัม ไทอะมิน 0.13 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.4 มิลลิกรัม วิตามินซี 23 มิลลิกรัม
ข้าวโพดมีสารอาหาร
- คาร์โบไฮเดรต "ข้าวโพด"มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพดหนัก 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่
- ไขมัน เมล็ดข้าวโพดมีไขมันอยู่ร้อยละ 4 มีฤทธิ์ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตสูง
- โปรตีน โปรตีนในข้าวโพดเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ เพราะจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือไลซีนและทริบโตฟาน ควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ
- วิตามิน อุดมด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 รวมไปถึงเกลือแร่ด้วย
หน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่ง


ชื่อวิทยาศาสตร์ Asparagus officinalis L.
ชื่อสามัญ Asparagus
วงศ์ Liliaceae
ลักษณะ
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักที่มีลำต้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ลำต้นใต้ดิน และลำต้นเหนือดิน
ลำต้นใต้ดิน อาจถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบรากรวมเรียกว่า rhizome หรือเหง้า อาหารของหน่อไม้ฝรั่งจะถูกส่งมาเก็บ ที่ส่วนนี้ ลำต้นใต้ดินมีลักษณะเป็นแท่งคล้ายแท่งดินสอ งอกกระจายออกเป็นรัศมี โดยรอบ เรียกอีกอย่างว่า crown ระบบราก แผ่ขยายออกไป ประมาณ 3-5 ฟุต หรือมากกว่านั้น
ยอดอ่อนหรือหน่ออ่อน (spear) เจริญมาจากเหง้าเป็นส่วนที่ใช้ รับประทาน ถ้าปล่อยให้หน่ออ่อนเจริญเติบโตจะกลายเป็นลำต้นเหนือดิน ซึ่งมีความสูง 1.5 - 2 เมตร
ลำต้นเหนือดิน มีใบเป็นเกล็ดบาง ๆ ติดอยู่ตามข้อ ส่วนที่เห็นเป็นลักษณะคล้ายเส้นขน (ที่เรียกกันว่าใบ) แท้จริง เป็นส่วนของกิ่งก้านที่เปลี่ยนไปทำหน้าที่ใบ เรียกว่า claode หรือ cladophyll
ต้นเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น (dioecious)
ดอก มีขนาดเล็ก มีจำนวนมากและเกิดตามกิ่งก้าน
ผล มีลักษณะกลม ขนาดเล็ก มีสีเขียวเมื่ออ่อนและสีแดงส้ม เมื่อสุก มีเมล็ดอยู่ภายในผลละ 2-3 เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดสีดำ
คุณค่าทางอาหาร
เป็นแหล่งให้โฟเลต เบตาแคโรทีน วิตามินซี อี และโพแทสเซียม คลินิกเกอร์ลินซึ่งมีชื่อเสียงด้านการรักษาโรคด้วยน้ำผักผลไม้ตามแนวทางของแพทย์ธรรมชาติบำบัด ถือว่าน้ำหน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งให้วิตามินอีที่ดี
สาระประโยชน์
หน่อไม้ฝรั่งมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอย่างอ่อน ขับปัสสาวะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และมีสารต้านอนุมูลอิสระ อาจมีสารต้านไวรัสด้วย
ชาวอินเดียนแดงสมัยก่อน
ใช้หน่อไม้ฝรั่งตากแห้ง เป็นยาขับปัสสาวะแก้ปัญหาโรคกระเพาะปัสสาวะ และโรคไต มันมีสารบางชนิด ป้องกันการฉีกขาดของเส้นโลหิตฝอย ช่วยบรรเทาโรคหัวใจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของยุโรป Maurice Messegue บันทึกการใช้น้ำหน่อไม้ฝรั่งรักษาโรคไตไว้เมื่อปี ค.ศ. 1970 ว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการเจ็บคอ หลังจากนั้น 10 วัน เกิดอาการบวมน้ำที่ขาและใบหน้า เห็นได้ชัดเจน ปัสสาวะมีเลือดปนออกมา ผู้ป่วยบ่นว่ามีอาการปวดหัวข้างเดียว และเจ็บหัวเหน่ารุนแรง วินิจฉัยว่าเป็นโรคBright’s Disease หรือไตอักเสบเฉียบพลัน
ผู้ป่วยได้รับการบำบัดโดยควบคุมอาหาร งดสุรา จำกัดปริมาณเกลือ และโปรตีน และให้ดื่มน้ำหน่อไม้ฝรั่งสลับกับน้ำเปล่า และให้นอนพักบนเตียงจนกว่าอาการจะทุเลา ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและหายขาดใน -5 สัปดาห์
กะหล่ำดอก
กะหล่ำดอก


ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica oleracea L. var. botrytis L. Cruciferae
ชื่อสามัญ Cauliflower
วงศ์ BRASSICACEAE
ลักษณะ
- เป็นผักประเภทอายุปีเดียวและอายุสองปี แต่ส่วนใหญ่ปลูกเป็นผักอายุปีเดียว
- ลำต้นสูงประมาณ 40-55 เซนติเมตร
ขนาดดอกหนักประมาณ 0.5-1.20 กิโลกรัม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตร
- มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60-90 วัน
กะหล่ำดอก
เป็นพืชผักที่ใช้บริโภคส่วนของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อน อัดตัว กันแน่น อวบและกรอบ ซึ่งนิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ ถ้าหากปล่อยให้เจริญเติบโตพัฒนาต่อไป ก็จะเป็นช่อดอก และ ติดเมล็ดได้
คุณค่าทางอาหาร
1 มีวิตามินซีสูงมาก ดอกกะหล่ำ 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 96 มิลลิกรัม สูงกว่าที่ร่างกายเราต้องการใน 1 วัน คือ 60 มิลลิกรัม
2 ะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไร
3 ช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและทำให้สเปิร์มแข็งแรงด้วย
4 ในดอกกะหล่ำมีสารซัลโฟราเฟนที่เพิ่มปริมาณแอนไซม์ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งที่เต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ดี
กล่ำดอกประกอบด้วยสาร
1 เอนไซม์ต้านมะเร็งชื่อ ซัลโฟราเฟน (sulforaphane)
2 สารฟีโนลิกส์ (phenolics)
3 สารไอโซไทโอไซยาเนท (isothiocyanates)
4 สารผลึกอินโดล (indoles)
5 อินโดล ทรี คาร์บินัล (indole-3-carbinal)
6 ไดไทอัลไทโอน (dithiolthiones)
7 กลูโคไซโนเลท (glucosinolates)
8 กรดโฟลิก และคูมารีน ( folic acid & coumarines)
9 กะหล่ำดิบจะมีวิตามินซีสูง มีธาตุโพแทสเซียม กำมะถัน และเส้นใยมาก
ประโยชน์ของกล่ำดอก
ใช้กินเป็นผัก มีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็ง (carcinogen) ออกจากเซล กลไกที่เกิดขึ้น คือ สารซัลโฟราเฟน ทำให้มีการผลิตเอมไซม์-phase II มากขึ้น
ซึ่งสามารถไปลดการผลิตเอ็มไซม์-phase I ที่เป็นอันตราย เพราะเอ็มไซม์ชนิดแรกนี้สามารถไป ทำอันตรายต่อสารพันธุกรรมภายในเซล พืชในวงศ์นี้รวมไปถึง บร็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำต่างๆ
สารประกอบที่พบแล้วในพืชวงศ์นี้สามารถต้านอนุมูลอิสสระได้ดี มีสารโพแตสเซี่ยมสูง ซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิต มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง สารซัลโฟราเฟน ช่วยเพิ่มปริมาณเอ็มไซม์ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลมะเร็งได้ดีมาก
คำแนะนำ
ควรกินเป็นประจำ
จะสามารถช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ดี กรดโฟลิค ช่วยป้องกันมะเร็ง
ลำไส้และมะเร็งเต้านม สารอินโดลส์
คาดว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งบางชนิดได้ดี สารอินโดล-3 คารฝืบินอล
ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม คั้นเอาแต่น้ำอมช่วยรักษาแผลในปาก กลั้วคอแก้คออักเสบ
น้ำผักสดช่วยรักษาแผลเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง หอบหืด ไม่ควรปรุงให้สุกเกินไป เพราะ
ความร้อนจะไปทำลายคุณสมบัติทางยาได้
ประโยชน์
กะหล่ำดอกจะมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า คาร์ซิโนเจน (carcinogens) ออกจากเซลล์ กลไกที่เกิดขึ้นคือ สารซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ทำให้มีการผลิตเอนไซม์เฟสทูมากขึ้น (phase II) ซึ่งสามารถไปลดการผลิตเอนไซม์เฟสวัน (phase I) ที่เป็นอันตรายได้ เพราะเอนไซม์เฟสทู สามารถไปทำอันตรายสารพันธุกรรมในเซลล์ (cellular DNA) และจากรายงานผลการวิจัยที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อต้นปีที่แล้วพบว่า พืชในวงศ์ ครูซิเฟอร์อี้ (Cruciferae) ซึ่งรวมถึง บร็อคโคลี คะน้า ผักกาดขาว และกะหล่ำต่างๆ มีสารประกอบที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี ดังนั้นจึงช่วยต้านมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่า ผักดังกล่าวช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี และจากการที่มีโพแทสเซียมสูงนี้เอง จึงช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตได้อีกด้วย
มีรายงานวิธีการใช้กะหล่ำดอก โดยให้นำกะหล่ำดอกไปคั้นน้ำ แล้วนำน้ำกะหล่ำดอกที่คั้นได้ไปใช้ อมกลั้วปาก พบว่าสามารถรักษาแผลในปาก แก้เจ็บคอ
ยังพบว่าในน้ำกะหล่ำดอกสดช่วยรักษา แผลเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง ปวดศรีษะชนิดเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบ
โดยแนะนำให้ดื่มประมาณ 1- 2 ออนซ์ทุกวัน
คำแนะนำ
ในการรับประทานกะหล่ำดอกอย่าปรุงสุกเกินไปนะคะ เพราะการปรุงสุกเกินไปจะทำลายคุณสมบัติทางยาของกะหล่ำดอก
กล่ำปลีแดง
กล่ำปลีแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica oleraceae var. rubra
ชื่อสามัญ Red Cabbage
ลักษณะ
คุณค่าทางอาหาร
ข้อควรระวัง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica oleraceae var. rubra
ชื่อสามัญ Red Cabbage
ลักษณะ
เป็นพืชล้มลุกสองปี มีลักษณะคล้าย กะหล่ำปลีธรรมดา แต่มีสีแดง เนื่องจากใบมีสาร anthocyanin จำนวนมาก ลักษณะลำต้นสั้นมาก ใบเดี่ยวสีแดง หนา และมีนวล ใบเรียงตัว สลับซ้อนกันแน่นหลายชั้น เรียงแน่น หัวกลมหรือค่อนข้างกลม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
คุณค่าทางอาหาร
ด้วยเนื้อผักกรุบกรอบของกะหล่ำปลีสีม่วงมีสารอินไทบินที่ออกรสขมกว่ากะหล่ำปลีสีขาวธรรมดา แต่สารอินไทบินัวนี้มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงตับ ถุงน้ำดี ไต และกระเพาะดีขึ้นนอกจากนี้กะหล่ำปลีสีม่วงยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก จึงช่วยเสริมฮีโมโกลบินให้แก่ร่างกาย ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นตัวการสำคัญที่นำพาออกซิเจนไปกับเม็ดเลือดแดงเพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ
และในกะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน สามารถรักษาโรคกะเพาะอาหารและมีสารกอยโตรเจนที่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก นอกจากนั้นยังพบว่ามีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้มีการวิจัยพบกะหล่ำปลีใช้ประคบเต้านมลดปวดแก้นมคัดแม่หลังคลอด[
คุณค่าทางอาหารของกะหล่ำปลีแดง
กะหล่ำปลีแดง เป็นพืชที่มีเยื่อใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน(สาร indols ซึ่งเป็นผลึกที่แยก มาจาก trytophan; กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย) คาร์โบไฮเดรต โซเดียม วิตามินซีซึ่งพบค่อนข้างมากกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวถึง สองเท่า
ซึ่งจะคุณค่าของกล่ำปลีแดง
1 ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารซัลเฟอร์(Sulfer)
2 ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่
3 ต้านสารก่อ มะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย การกินกะหล่ำปลีบ่อยๆ จะช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ โรคมะเร็งในช่องท้อง
4 ลดระดับคลอเรสเตอรอล
5 ช่วยงับประสาท ทำให้นอนหลับดี
6 น้ำกะหล่ำปลีคั้นสดๆ ช่วยรักษาโรคกะเพาะ
ข้อควรระวัง
กะหล่ำปลีมีสารชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า goitrogen เล็กน้อย ถ้าสารนี้มีมากจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ดังนั้นไม่ควร กินกะหล่ำปลีสดๆ วัยละ 1-2 กก. แต่ถ้าสุกแล้วสาร goitrogen จะหายไป
กะหล่ำปลีแดง นิยมรับประทานสด เช่น ในสลัด หรือนำมาตกแต่งจานอาหาร การนำมาประกอบอาหาร ไม่ควรผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินและคุณค่าอาหาร
วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556
สมุนไพร ว่านกลิ้งกลางดง(บำรุงกำหนัด)
ว่านกลิ้งกลางดง(บำรุงกำหนัด)

รายละเอียด
"กลิ้งกลางดง"
บำรุงกำหนัดบำรุงพลังทางเพศให้แก่คุณผู้ชายทั้งหลายกลับกลายเป็นขุนศึกที่คึกคักและผงาดน่าเกรงขามทำศึกเอาชนะได้ไม่ยากลำบาก เกิดจากพลังสรรพคุณทางยาสมุนไพรของกลิ้งกลางดงนี่เอง
-หัวอยู่ใต้ดิน: นำมาดองสุราบำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด รักษามะเร็ง ขับลม
: นำมาตากแห้งบดปั้นเป็นลูกกลอน กินเป็นยาอายุวัฒนะ เจริญอาหารรักษา
โรคต่างๆโรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคปวดศีรษะ
: หัวมาฝนกับว่านเพชรหึงใช้น้ำซาวข้าวเป็นกระสายยา ใช้กินและทาแก้โรค
ฝีกาฬและ ระงับพิษร้อนเย็นได้
- เถา-ขับพยาธิ,ขับโลหิตระดู กระจายลมที่แน่นในอก
- ราก-บำรุงเส้นประสาท
- ใบ-รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง บำรุงธาตุ
- ดอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ช่วยย่อยอาหาร
- ผลพกติดตัวมีโชคลาภ ถ้ากินจะช่วยให้คงกระพันชาตรี
!!!!!! หมายเหตุ :
ต้นกลิ้งกลางดง มีผลพิเศษ (เป็นผลหรือรากสะสมอาหาร) ทรงกลมผิวสีน้ำตาลขรุขระเล็กน้อยเกาะติดเป็นคู่ตามซอกใบ
รายละเอียด
"กลิ้งกลางดง"
บำรุงกำหนัดบำรุงพลังทางเพศให้แก่คุณผู้ชายทั้งหลายกลับกลายเป็นขุนศึกที่คึกคักและผงาดน่าเกรงขามทำศึกเอาชนะได้ไม่ยากลำบาก เกิดจากพลังสรรพคุณทางยาสมุนไพรของกลิ้งกลางดงนี่เอง
-หัวอยู่ใต้ดิน: นำมาดองสุราบำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด รักษามะเร็ง ขับลม
: นำมาตากแห้งบดปั้นเป็นลูกกลอน กินเป็นยาอายุวัฒนะ เจริญอาหารรักษา
โรคต่างๆโรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคปวดศีรษะ
: หัวมาฝนกับว่านเพชรหึงใช้น้ำซาวข้าวเป็นกระสายยา ใช้กินและทาแก้โรค
ฝีกาฬและ ระงับพิษร้อนเย็นได้
- เถา-ขับพยาธิ,ขับโลหิตระดู กระจายลมที่แน่นในอก
- ราก-บำรุงเส้นประสาท
- ใบ-รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง บำรุงธาตุ
- ดอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ช่วยย่อยอาหาร
- ผลพกติดตัวมีโชคลาภ ถ้ากินจะช่วยให้คงกระพันชาตรี
!!!!!! หมายเหตุ :
ต้นกลิ้งกลางดง มีผลพิเศษ (เป็นผลหรือรากสะสมอาหาร) ทรงกลมผิวสีน้ำตาลขรุขระเล็กน้อยเกาะติดเป็นคู่ตามซอกใบ
สมุนไพร โคลงเคลง
โคลงเดลง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melastoma malabathricum L. subsp. malabathricum
วงศ์ : Melastomataceae
ชื่อสามัญ : Malabar melastome, melastoma, Indian-rhododendron
ชื่ออื่น : กะดูดุ (มลายู-ปัตตานี); กาดูโด๊ะ (มลายู-สตูล, ปัตตานี); โคลงเคลง, โคลงเคลงขี้นก, โคลงเคลงขี้หมา (ตราด); ซิซะโพ๊ะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ตะลาเด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); เบร์, มะเหร, มังเคร่, มังเร้, สาเร, สำเร (ภาคใต้); มายะ (ชอง-ตราด); อ้า, อ้าหลวง (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม กิ่งเป็นสี่เหลี่ยม มักมีขน เกสรเพสผู้ 10 เรียงเป็น 2 วง มีระยางค์ ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเป็นคู่ตรงกันข้าม เรียงแบบสลับน้อย เส้นใบ 3-9 ออกจากจุดเดียวกันตรงฐานใบ แล้วเบนเข้าหาปลายใบ เส้นใบย่อยเรียงแบบ ขั้นบันได ไม่มีหูใบ ดอก ดอกเป็นช่อ สมบูรณ์เพศ มีสมมาตรตามรัศมี กลีบเลี้ยง 3-6 (ส่วนใหญ่ 5) กลีบดอก 5 เรียงเกยซ้อนกันในดอกอ่อน เกสรเพศผู้ 10 เรียงเป็น 2 วง (จำนวน 5 พบน้อย) มีระยางค์ รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ ผล เมื่อแก่เปลือกจะแห้ง และแตกออก ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก หรือผลมีเนื้อนุ่ม หลายเมล็ด
ประโยชน์ : เป็นยาพื้นบ้าน แก้คอพอก แก้อาเจียนเป็นเลือด และถ่ายเป็นเลือด ราก แก้ร้อนในกระหายน้ำ

ชา ช่วยย่อย

ชาช่วยย่อย กับ 4 ตัวเลือก
หลายคนมักจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในช่องท้องกันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว หรือแม้กระทั่งอาหารไม่ย่อย อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนค่ะ แต่ก็สามารถหายได้ ด้วยสมุนไพรที่คุณหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
-ชาขิงสด ให้คุณลองใช้ขิงสดบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ นำไปชงกับน้ำต้มเดือดๆ ทิ้งไว้สัก 5 - 10 นาที จากนั้นกรองเอากากออก
ทิ้งไว้ให้เย็น จิบหลังอาหาร เพื่อเป็นการกระตุ้นการย่อยและป้องกันไม่ให้อาหารนั้น เข้าไปตกค้างที่ลำไส้ หากเกิดขึ้นแล้วจะนำไปสู่การหมักหมม และเกิดแก๊สที่นำไปสู่อาการท้องอืดได้
-ชาสะระแหน่ ไม่ว่าจะเป็นสะระแหน่ไทยที่มีใบทรงกลม หรือสะระแหน่เทศใบยาวรี ทั้งคู่นี้ต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยในการดับร้อนและขับลมได้ และสารจำพวกเมนทอลที่มีอยู่ในน้ำมันหอมระเหยของใบสะระแหน่ จะช่วยให้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อหายไปได้
วิธีการทำก็ง่าย ๆ ลองใช้ใบสะระแหน่สด ๆ หรือแบบตากแห้งบดละเอียด 1-2 ช้อนชากับน้ำเดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ ควรจะดื่มวันนึงซัก 3-4 ครั้ง แต่ชาประเภทนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อน (GERD) เพราะสารบางอย่างที่อยู่ในใบสะระแหน่นี้ จะยิ่งเข้าไปช่วยกระตุ้น ทำให้อาการของโรคนี้กำเริบได้
-ชาเมล็ดยี่หร่า ยี่หร่า เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติ ในการช่วยขับ
ของเสีย ช่วยในเรื่องของอาการเบื่ออาหารได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยของเมล็ดยี่หร่านี้จะช่วยลดแก๊ส ช่วยระงับการหดเกร็งของลำไส้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วย มาดูวิธีชงชาเมล็ดยี่หร่ากัน ใช้เมล็ดยี่หร่า 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว จิบหลังอาหารเป็นประจำ หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นการเคี้ยวแทนก็ได้
-ชาเมล็ดกระวาน คุณรู้มั้ยว่า น้ำมันหอมระเหยในเมล็ดกระวานมีสารประกอบจำพวก Camphor และ Pinene มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ลดการบีบตัวของลำไล้และยังช่วยในเรื่องของการขับลมด้วย ใช้เมล็ดกระวาน 1 ช้อนชาและน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว ทิ้งไว้นานถึง 10 นาที ดื่มระหว่างมื้ออาหาร หรือคุณอาจนำมาบดละเอียด นำมาชงกับน้ำอุ่นได้เลย
สมุนไพร เสาวรส
ตู้ยาข้างบ้าน ตอน
เสาวรส


เสาวรส
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Passiflora laurifolia L.
ชื่อสามัญ : Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla
วงศ์ : Passifloraceae
ชื่ออื่น :
สุคนธรส (ภาคกลาง), กะทกรก (ภาคเหนือ) กระทกรกฝรั่ง กะทกรกยักษ์ แพสเสี้ยนฟรุท
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เสาวรส เป็นผลไม้เขตร้อน ให้คุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง
มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาปรับสมดุลในร่างกายให้สดชื่นนอกจากนี้ยังช่วยสมานผิว
ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย
มี 2 ชนิดคือชนิด ผลสีม่วง และผลสีเหลือง มีน้ำมาก รสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมแต่ก็สามารถรับประทานผลสดได้ โดยเฉพาะบางพันธุ์ที่ผลมีรสชาติค่อนข้างหวาน
ลำต้น
เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ลำต้นค่อนข้างใหญ่ เกาะเกี่ยวเลื้อยพันโดยใช้มือจับ
ใบ
เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่
ดอก
ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก
ผล
เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง
สรรพคุณ
มีคุณค่าทั้งวิตามินเอ และวินตามินซี
เสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรสมีทั้งวิตามินเอ
บำรุงสายตาช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว มีวิตามินซี
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค
นำไปปรุงแต่งกินประกอบอาหาร ขนมต่างๆ
ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ใช้ทาหน้าก่อนนอน ลดรอยเหี่ยวย่น
ช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย
ลดอาการวิงเวียนคลื่นไส้
บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ
กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด
ประโยชน์
ยอด รับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริกมีรสขมเล็กน้อย หรือจะนำไปแกงก็ได้
ผล ใช้รับประทานเมล็ด หรือ เยื่อหุ้มเมล็ด
เนื้อไม้ เป็นยาควบคุมธาตู ถอนพิษเบื่อเมาทักชนิด ใช้รักษาบาดแผล
ราก ใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ กามโรค ลดผื่นคัน
ใบ ให้ตำให้ละเอียด แล้วคั้นน้ำดื่มเป็นยาขับพยาธิ
ดอก ขับเสมหะ แก้ไอ
ผล แก้ปวด บำรุงข้อ แก้ภูมิแพ้ บำรุงธาตุ นำไปคั้นน้ำดื่มประจำทุกวัน จะทำให้มีสุขภาพดี บำรุงผิวพรรณ บำรุงสายตา(ในเสาวรสมีวิตามินเอ และวิตามินซี สูง) รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทำให้สดชื่น
รสเปรี้ยวของเสาวรส ช่วยลดอาการเจ้บคอ กำจัดสารพิษในเลือด บำรุงไต ลดไขมันในเส้นเลือด
ข้อควรระวัง
ไม่ควรรับประทานสดทั้งต้น เพรามีสารพิษ ทำให้เกิดอันตรายได้
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด
เพิ่มเติม
การทำน้ำเสาวรสปั่น
ส่วนประกอบในการทำน้ำเสาวรสปั่น
1. เสาวรสสุก 2-3 ผล
2. น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วย
3. เกลือป่น 1/2 ถ้วย
4. น้ำต้มสุกแช่เย็น 1 ถ้วย
ขั้นตอนการทำ
เสาวรสผลที่ดีต้องไม่เหี่ยว ผิวเต็งตรึง นำมาล้างให้สะอาดทั้งเปลือก ผ่าครึ่งผลตามขวาง ใช้ช้อนตักเมล็ด เนื้อ และ น้ำออกให้หมด นำมาปั่นกับน้ำต้มสุกให้เข้ากันจนละเอียดกรองด้วยกระชอนกับผ้าขาวบาง เพื่อแยกกากและเมล็ดออก พักไว้
เตรียมเครื่องปั่นใส่น้ำเสาวรสที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในโถปั่น ใส่น้ำเชื่อม เกลือป่น และน้ำแข็งลงปั่น จนเป็นเกล็ดน่าทาน เสร็จแล้วจ้า น้ำปั่นเสาวรส ลองทำดูไม่ยาก และมีคุณค่าต่อร่างกาย
สมุนไพร กระเจี๊ยบแดง
ตู้ยาข้างบ้าน ตอน
กระเจี๊ยบแดง


กระเจี๊ยบแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L.
วงศ์ : Malvaceae
ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle
ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ย ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง
ใบ
เป็น ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม.
ดอก
ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด เวลาใช้ จะนำดอกมาตากแห้ง
ผล
ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด
สรรพคุณ
ส่วนที่ใช้ คือ ดอก ราก ใบ ผล เมล็ด
แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมอหะ แก้ไอ ขับเมืองมันในลำไส้ ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงโลหิต ช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
นอกจากนี้ยังใช้ผสมกับยาตัวอื่นๆ ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด ได้อีกด้วยค่ะ
รายละเอียดดังนี้
กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล
1.เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
2.ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
3.น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
4.ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
5.น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง
6.ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ
7.เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ
8.เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย
ใบ
แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก
ดอก
แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
ผล
ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ
เมล็ด
บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด
วิธีและปริมาณที่ใช้
1 ต้มน้ำใส่กระเจี๊ยบแห้งประมาณ 1 ถ้วย ต่อ น้ำ 3 ถ้วย ใส่เกลือป่นนิดหน่อย เติมน้ำตาลลงไป เพราะกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว ดื่มเป็นประจำ
2 นำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง
สารเคมี
ดอก พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin
คุณค่าด้านอาหาร
น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ
สมุนไพร คำฝอย
ตู้ยาข้างบ้าน ตอน
คำฝอย
ตู้ยาข้างบ้านชุดนี้ เป็น สมุนไพรลดไขมันในเส้นเลือด นะคะ
สมันไพรชุดนี้ มี 3 ชนิดคือ
1 คำฝอย
2 กระเจี๊ยบ
3 เสาวรส
เรามาเริ่มที่ ดอกคำฝอยก่อนนะคะ
คำฝอย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Carthamus tinctorius L.
ชื่อวงศ์ Compositae
ชื่อสามัญ Safflower, False Saffron, Saffron Thistle
ชื่ออื่น : คำ คำฝอย ดอกคำ (เหนือ) คำยอง (ลำปาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้ล้มลุก สูง 40 - 130 ซม. ลำต้นเป็นสัน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1-5 ซม. ยาว 3-12 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายเป็นหนามแหลม ดกช่อ ออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อบานใหม่ๆ กลีบดอกสีเหลืองแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบประดับแข็งเป็นหนามรองรับช่อดอก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม สีขาว ขนาดเล็ก
สรรพคุณ
ดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล
- รสหวาน บำรุงโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แสบร้อนตามผิวหนัง
- บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ขับระดู แก้ดีพิการ
- โรคผิวหนัง ฟอกโลหิต
- ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน
เกสร
- บำรุงโลหิต ประจำเดือนของสตรี
เมล็ด
- เป็นยาขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ทาแก้บวม
- ขับโลหิตประจำเดือน
- ตำพอกหัวเหน่า แก้ปวดมดลูกหลังจากการคลอดบุตร
น้ำมันจากเมล็ด
- ทาแก้อัมพาต และขัดตามข้อต่างๆ
ดอกแก่
- ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง
วิธีและปริมาณที่ใช้
ชาดอกคำฝอย ช่วยเสริมสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยใช้ดอกแห้ง 2 หยิบมือ (2.5 กรัม) ชงน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้
สารเคมี
ดอก พบ Carthamin, sapogenin, Carthamone, safflomin A, sfflor yellow, safrole yellow
เมล็ด จะมีน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
คุณค่าด้านอาหารในเมล็ดคำฝอย มีน้ำมันมาก สารในดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้
หมายเหตุ
ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรับยาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติ หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักจะใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอก แต่มีข้อควรระวังคือ หญิงมีครรภ์ ห้ามรับประทาน
ใช้ดอกคำฝอยแก่ มาชงน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีเหลืองส้ม (สาร safflower yellow)
สมุนไพร ลูกใต้ใบ
ชื่อที่เรียก ลูกใต้ใบ
ชื่ออื่นๆ
หมากใต้ใบ(อีสาน) มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ) หญ้าใต้ใบ (นครสวรรค์ อ่างทอง ชุมพร) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า (ชลบุรี) หมากไข่หลัง (เลย)
ชื่อสามัญ
Egg Woman
ชื่อวิทยาศาสตร์
phyllanthus amarus Schum & Thonn.
ชื่อวงศ์
Euphorbiaceae
ศักยภาพการใช้งาน
เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน ขับปัสสาวะ
การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
สารเคมีที่สำคัญคือ
Potassium, phyllanthin, hypophyllanthin
ลักษณะ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 10 - 60 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมนกว้างโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.40 X 1.00 เซนติเมตร ก้านใบสั้นมากและมีหูใบสีขาวนวลรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติด 2 อัน ดอกแยกเพศ เพศเมียมักอยู่ส่วนโคน เพศผู้มักอยู่ส่วนปลายก้านใบ ดอกขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.08 เซนติเมตร ผลทรงกลมผิวเรียบสีเขียวอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 เซนติเมตร เกาะติดอยู่ที่ใต้โคนใบย่อย เมื่อแก่จะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปเสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.10 เซนติเมตร
ประโยชน์
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ปวดเมื่อย
ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ตากแห้งพกติดกาย ชงเป็นชายามเดินธุดงค์เพื่อใช้แก้ไข้ที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไข้จากอ่อนเพลีย ไข้จับสั่น รวมทั้งแก้ท้องเสียได้ดีนัก ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ แก้ปวดข้อ แก้อักเสบ แก้ปวด มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ สร้างความสมดุลของไขมันในตับ
หมอยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ
ลูกใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทำเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทำให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวาน
ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ข้อแนะนำ...สำหรับการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หากจะใช้สมุนไพรต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามคำสั่งแพทย์และมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่าลูกใต้ใบช่วยเสริมฤทธิ์ของยาเบาหวาน
ลูกใต้ใบ…สมุนไพร ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว
หมอยาทั่วทุกภาคจะใช้ลูกใต้ใบในการเป็นยาขับนิ่ว มีรายงานการศึกษาสมัยใหม่ว่าลูกใต้ใบมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน ฤทธิ์ในการขับนิ่วนั้น มิใช่หมอยาพื้นบ้านไทยเท่านั้นที่รู้จักใช้ ในสเปน เรียกลูกใต้ใบว่า Chanca piedra มีความหมายว่า นักทุบหิน หรือทำให้หินเป็นชิ้นเล็กๆ (Stone breaker or Shatter stone) ในบราซิลเรียกลูกใต้ใบว่า Quebra-pedra หรือ Arranca-pedras ซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกัน หมอยาพื้นบ้านในแถบลุ่มน้ำอเมซอนนิยมใช้ลูกใต้ใบ ต้มกินในการรักษานิ่วทั้งนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต มีรายงานการศึกษาพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและกำจัดนิ่ว
จะเห็นได้ว่า ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่จัดว่ามีการใช้กับระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยมีการนำไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม และขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ซึ่งช่วยในคนเป็นโรคเก๊าท์
ชื่ออื่นๆ
หมากใต้ใบ(อีสาน) มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ) หญ้าใต้ใบ (นครสวรรค์ อ่างทอง ชุมพร) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) ไฟเดือนห้า (ชลบุรี) หมากไข่หลัง (เลย)
ชื่อสามัญ
Egg Woman
ชื่อวิทยาศาสตร์
phyllanthus amarus Schum & Thonn.
ชื่อวงศ์
Euphorbiaceae
ศักยภาพการใช้งาน
เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน ขับปัสสาวะ
การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
สารเคมีที่สำคัญคือ
Potassium, phyllanthin, hypophyllanthin

ลักษณะ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 10 - 60 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมนกว้างโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.40 X 1.00 เซนติเมตร ก้านใบสั้นมากและมีหูใบสีขาวนวลรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติด 2 อัน ดอกแยกเพศ เพศเมียมักอยู่ส่วนโคน เพศผู้มักอยู่ส่วนปลายก้านใบ ดอกขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.08 เซนติเมตร ผลทรงกลมผิวเรียบสีเขียวอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 เซนติเมตร เกาะติดอยู่ที่ใต้โคนใบย่อย เมื่อแก่จะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปเสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.10 เซนติเมตร
ประโยชน์
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ปวดเมื่อย
ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ตากแห้งพกติดกาย ชงเป็นชายามเดินธุดงค์เพื่อใช้แก้ไข้ที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไข้จากอ่อนเพลีย ไข้จับสั่น รวมทั้งแก้ท้องเสียได้ดีนัก ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ แก้ปวดข้อ แก้อักเสบ แก้ปวด มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ สร้างความสมดุลของไขมันในตับ
หมอยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ
ลูกใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทำเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทำให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง
ลูกใต้ใบ…สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวาน
ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ข้อแนะนำ...สำหรับการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หากจะใช้สมุนไพรต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามคำสั่งแพทย์และมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่าลูกใต้ใบช่วยเสริมฤทธิ์ของยาเบาหวาน
ลูกใต้ใบ…สมุนไพร ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว
หมอยาทั่วทุกภาคจะใช้ลูกใต้ใบในการเป็นยาขับนิ่ว มีรายงานการศึกษาสมัยใหม่ว่าลูกใต้ใบมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน ฤทธิ์ในการขับนิ่วนั้น มิใช่หมอยาพื้นบ้านไทยเท่านั้นที่รู้จักใช้ ในสเปน เรียกลูกใต้ใบว่า Chanca piedra มีความหมายว่า นักทุบหิน หรือทำให้หินเป็นชิ้นเล็กๆ (Stone breaker or Shatter stone) ในบราซิลเรียกลูกใต้ใบว่า Quebra-pedra หรือ Arranca-pedras ซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกัน หมอยาพื้นบ้านในแถบลุ่มน้ำอเมซอนนิยมใช้ลูกใต้ใบ ต้มกินในการรักษานิ่วทั้งนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต มีรายงานการศึกษาพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและกำจัดนิ่ว
จะเห็นได้ว่า ลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่จัดว่ามีการใช้กับระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยมีการนำไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม และขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ซึ่งช่วยในคนเป็นโรคเก๊าท์
สมุนไพร เพกา
เพกา
(ลิ้นฟ้า)
หมากลิ้นไม้ ลี้นฟ้า ไทยเรียก เพกา
กินกับลาบก้อย ป่นปลา แซบหลายๆ นั่นแหละจ้า
เพกา หรือลิ้นฟ้า เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นไม้ทีผลัดใบ ขนาดความสูง 5-20 เมตร เปลือกเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 2-3 คู่ รูปไข่ออกกลม ปลายโต ขอบและผิวเรียบ ดอกช่อ ก้านช่อตั้งสูง ออกที่ปลาย ผลเป็นฝักแบนกว้างราว 6 ซม.ยาวประมาณ 30-54 ซม. เมล็ดรูปไตแบน มีปีกสีขาวบางๆ เหมือนแผ่นกระดาษ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
รายละเอียดเป็นดังนี้ค่ะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum Vent.
ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEA
ชื่ออื่น ๆ :
มะลิดไม้, มะลิ้นไม้, ลิดไม้ (เหนือ), หมากลิ้นก้าง, หมากลิ้นช้าง (เงี้ยว-เหนือ), ลิ้นฟ้า (เลย), เบโก (มลายู-นราธิวาส), กาโด้โด้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ดอก๊ะ, ด๊อกก๊ะ, ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทั่วไป
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ผลัดใบสูงประมาณ 4-20 ม. ลำต้นและกิ่งก้านจะมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายทั่วไป ส่วนเปลือกนั้นจะเรียบเป็นสีเทา และบางทีก็จะแตกออกเป็นรอยตื้น ๆ เล็กน้อย หรือมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่เกิดจากใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว
ใบ : จะออกเป็นช่อคล้ายขนนกประมาณ 2-3 ชั้น
มีใบเดี่ยว ๆ ตรงปลายก้าน และจะเรียงตรงข้ามชิดกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ใบย่อยจะมีลักษณะเป็นรูปไข่และรูปขอบขนาน มีความกว้างประมาณ 3-9 ซม. และยาวประมาณ 4-14 ซม. ส่วนตรงปลายใบจะแหลม และขอบใบนั้นเรียบ โคนใบสอบกลมหรือคล้ายรูปไต มักจะเบี้ยว ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-2.0 ม.
ดอก : จะออกเป็นช่อใหญ่ตรงยอด กลีบรองกลีบดอกจะมีความยาวประมาณ 2.4 ซม. มีลักษณะเชื่อมติดกันเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อเป็นผล กลีบดอกจะมีเนื้อแข็งมากและค่อนข้างหนา ภายนอกจะเป็นสีม่วงแดง หรือน้ำตาลคล้ำ ส่วนภายในจะเป็นเปรอะ ๆ หรือสีชมพู ตรงโคนจะเชื่อมติดกัน มีลักษณะเป็นรูปลำโพง บริเวณปากลำโพงด้านในนั้นจะเป็นสีขาวอมเหลือง หรือสีขาวอมเขียว
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีประมาณ 5 อัน และจะติดกับท่อดอก โคนก้านจะมีขน ส่วนเกสรตัวเมียจะมีอยู่ 1 อัน มีท่อเกสรยาวประมาณ 4-6 ซม. เป็นสีม่วงคล้ำ
เมล็ด (ผล) : ผลนั้นจะออกเป็นฝักแบน และยาว มีลักษณะคล้ายรูปดาบ มีความยาวประมาณ 45-120 ซม. มักจะห้อยระย้าอยู่เหนือเรือนยอด ส่วนเมล็ดนั้นจะมีลักษณะแบน มีปีกบางใสเป็นจำนวนมาก เมล็ดจะมีความกว้างประมาณ 2.5-4 ซม. และยาวประมาณ 5-9 ซม.
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ด และควรจะปลูกในฤดูฝน
ส่วนที่ใช้
เปลือก เมล็ด ฝักอ่อน และราก ใช้เป็นยา
สรรพคุณ
เปลือก
เปลือก : ใช้เป็นยาสมานแผล รักษาฝี ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือด บำรุงเลือด ดับพิษเลือด รักษาเสมหะ จุกคอ ขับเสมหะ รักษาอาการจุกเสียด เปลือกต้นใช้ตำกับเหล้าใช้พ่นตัวแทนการอยู่ไฟ เปลือกผสมกับน้ำสุราใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางชนิดเม็ดเหลือง รักษาละอองขึ้นในปาก คอ ลิ้น รักษาละอองไข้ รักษาซางเด็ก รักษาอาการปวดฝี ใช้ทารักษาอาการฟกบวม เปลือกสดผสมน้ำส้ม ใช้รักษาอาการอาเจียนไม่หยุด รักษาโรคบิด หรือจะใช้เปลือกเพกาใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น
ๆ รักษาโรคมานน้ำ โรคเบาหวาน เปลือกนำไปต้มกับสมุนไพรหลาย ๆชนิด แยกเอาแต่น้ำมันมาทาเพื่อรักษาองคสูตร รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก ทวารเบา บรรเทาอาการฟกบวม และอาการคัน
เมล็ด
เมล็ด : ใช้เป็นยาขับถ่าย ส่วนเมล็ดแก่ใช้เป็นยาระบาย เป็นยารักษาอาการไอขับเสมหะ
ฝักอ่อน
ฝักอ่อน : ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ และใช้ขับผายลม
ราก
ราก : จะมีรสฝาดเย็นขมเล็กน้อย ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เจริญอาหาร ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร รักษาโรคบิด ท้องร่วง รักษาโรคไข้สันนิบาต และรักษาอาการอักเสบฟกบวมให้ใช้รากฝนกับน้ำปูนทา นอกจากนี้ยังใช้ ใบ ดอก ราก ลำต้น รวมกัน จะมีรสฝาดเย็น ใช้เป็นยาสมานแผล อาการอักเสบบวม รักษาโรคท้องร่วง โรคไข้เพื่อลมเพื่อเลือด และรักษาน้ำเหลืองเสีย
ถิ่นที่อยู่
พรรณไม้นี้ มักขึ้นตามที่โล่ง บริเวณชายป่าดิบ และไร่ร้างทั่วไป
ข้อมูลทางคลีนิคและทางเภสัชวิทยา
คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นสามารถลดการซึมผ่านหลอดเลือด ทำให้ลดการบวมอักเสบ ในหนูที่ถูกกระตุ้นให้อักเสบ โดยโปรตีนจากไข่ ฟอร์มาลิน และฮีสตามีน แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง การซึมผ่านหลอดเลือด (Vascular permeability) ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (Xylene) นอกจากนี้สารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อฉีดสารสกัดเปลือกต้นและผลด้วยแอลกอฮอล์และน้ำ (1:1) เข้าหนู ขนาดสูงสุดที่ไม่เป็นอันตรายคือ 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นำส่วนสารสกัด 3 ส่วนของสารสกัดเปลือกด้วยแอลกอฮอล์ 70% มาทดสอบพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง พบว่าขนาดที่ป้อนหนู 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่วนสกัดทุกส่วนทำให้เกิดพิษทั้ง 2 กรณี แต่จากการฉีดส่วนสกัดส่วนที่ 1 และ 2 พบว่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวของหนู
ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบสารสกัดจากเปลือกเพกาด้วยความเข้มข้น 2 มิลลิกรัม/plate กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และ TA100 พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
รวมความแล้วก็สรุปได้ว่า
ฝักลิ้นฟ้ากินเป็นผักเคียงกับป่น หรือน้ำพริกจิ้มต่าง ๆ
โดยนำเอาฝักมาเผาไฟ หรือลวกน้ำร้อนก่อนรับประทาน
เพื่อลดความขมที่มีอยู่ในฝักสด
การรับประทานฝักลิ้นฟ้าถือได้ว่าเป็นการบริโภคสมุนไพร
ฝักอ่อน ขับลม ฝักแก่ แก้ร้อนในกระหายน้ำ
เมล็ดแก่ ระบายท้อง แก้ไอ ขับเสมหะ
เปลือกต้น สมานแผล แก้ร้อนใน แก้ท้องร่วง ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ ดับพิษโลหิต ตำผสมสุราพ่นตามตัวสตรี ที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ให้ผิวหนังชา ตำผสมกับน้ำส้มมดแดงกับ เกลือสินเธาว์ รับประทานขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากแก้ซาง เม็ดสีเหลือง แก้ละออง แก้ซางเด็ก ทาแก้ฝี แก้ฟกบวม ราก บำรุงธาตุ ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้อักเสบฟกบวม ทั้งห้า สมานแผล แก้อักเสบฟกบวม แก้ท้องร่วง แก้ไข้เพื่อขับลมและโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย
[B]เพกา สรรพคุณและประโยชน์ของเพกา 57 ประการ[/B]
อ้างอิง :
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี rspg.or.th
doctor.or.th
bloggang.com (วิชิต สุวรรณปรีชา)
gotoknow.org (ขจิต ฝอยทอง)
มหัศจรรย์สมุนไพรจีน

หมากลิ้นไม้ ลี้นฟ้า ไทยเรียก เพกา
กินกับลาบก้อย ป่นปลา แซบหลายๆ นั่นแหละจ้า
เพกา หรือลิ้นฟ้า เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นไม้ทีผลัดใบ ขนาดความสูง 5-20 เมตร เปลือกเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 2-3 คู่ รูปไข่ออกกลม ปลายโต ขอบและผิวเรียบ ดอกช่อ ก้านช่อตั้งสูง ออกที่ปลาย ผลเป็นฝักแบนกว้างราว 6 ซม.ยาวประมาณ 30-54 ซม. เมล็ดรูปไตแบน มีปีกสีขาวบางๆ เหมือนแผ่นกระดาษ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

รายละเอียดเป็นดังนี้ค่ะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum Vent.
ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEA
ชื่ออื่น ๆ :
มะลิดไม้, มะลิ้นไม้, ลิดไม้ (เหนือ), หมากลิ้นก้าง, หมากลิ้นช้าง (เงี้ยว-เหนือ), ลิ้นฟ้า (เลย), เบโก (มลายู-นราธิวาส), กาโด้โด้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ดอก๊ะ, ด๊อกก๊ะ, ดุแก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทั่วไป
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ผลัดใบสูงประมาณ 4-20 ม. ลำต้นและกิ่งก้านจะมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายทั่วไป ส่วนเปลือกนั้นจะเรียบเป็นสีเทา และบางทีก็จะแตกออกเป็นรอยตื้น ๆ เล็กน้อย หรือมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่เกิดจากใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว
ใบ : จะออกเป็นช่อคล้ายขนนกประมาณ 2-3 ชั้น
มีใบเดี่ยว ๆ ตรงปลายก้าน และจะเรียงตรงข้ามชิดกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ใบย่อยจะมีลักษณะเป็นรูปไข่และรูปขอบขนาน มีความกว้างประมาณ 3-9 ซม. และยาวประมาณ 4-14 ซม. ส่วนตรงปลายใบจะแหลม และขอบใบนั้นเรียบ โคนใบสอบกลมหรือคล้ายรูปไต มักจะเบี้ยว ก้านใบมีความยาวประมาณ 0.5-2.0 ม.
ดอก : จะออกเป็นช่อใหญ่ตรงยอด กลีบรองกลีบดอกจะมีความยาวประมาณ 2.4 ซม. มีลักษณะเชื่อมติดกันเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อเป็นผล กลีบดอกจะมีเนื้อแข็งมากและค่อนข้างหนา ภายนอกจะเป็นสีม่วงแดง หรือน้ำตาลคล้ำ ส่วนภายในจะเป็นเปรอะ ๆ หรือสีชมพู ตรงโคนจะเชื่อมติดกัน มีลักษณะเป็นรูปลำโพง บริเวณปากลำโพงด้านในนั้นจะเป็นสีขาวอมเหลือง หรือสีขาวอมเขียว
เกสร : เกสรตัวผู้จะมีประมาณ 5 อัน และจะติดกับท่อดอก โคนก้านจะมีขน ส่วนเกสรตัวเมียจะมีอยู่ 1 อัน มีท่อเกสรยาวประมาณ 4-6 ซม. เป็นสีม่วงคล้ำ
เมล็ด (ผล) : ผลนั้นจะออกเป็นฝักแบน และยาว มีลักษณะคล้ายรูปดาบ มีความยาวประมาณ 45-120 ซม. มักจะห้อยระย้าอยู่เหนือเรือนยอด ส่วนเมล็ดนั้นจะมีลักษณะแบน มีปีกบางใสเป็นจำนวนมาก เมล็ดจะมีความกว้างประมาณ 2.5-4 ซม. และยาวประมาณ 5-9 ซม.
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ด และควรจะปลูกในฤดูฝน
ส่วนที่ใช้
เปลือก เมล็ด ฝักอ่อน และราก ใช้เป็นยา
สรรพคุณ
เปลือก
เปลือก : ใช้เป็นยาสมานแผล รักษาฝี ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือด บำรุงเลือด ดับพิษเลือด รักษาเสมหะ จุกคอ ขับเสมหะ รักษาอาการจุกเสียด เปลือกต้นใช้ตำกับเหล้าใช้พ่นตัวแทนการอยู่ไฟ เปลือกผสมกับน้ำสุราใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางชนิดเม็ดเหลือง รักษาละอองขึ้นในปาก คอ ลิ้น รักษาละอองไข้ รักษาซางเด็ก รักษาอาการปวดฝี ใช้ทารักษาอาการฟกบวม เปลือกสดผสมน้ำส้ม ใช้รักษาอาการอาเจียนไม่หยุด รักษาโรคบิด หรือจะใช้เปลือกเพกาใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น
ๆ รักษาโรคมานน้ำ โรคเบาหวาน เปลือกนำไปต้มกับสมุนไพรหลาย ๆชนิด แยกเอาแต่น้ำมันมาทาเพื่อรักษาองคสูตร รักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก ทวารเบา บรรเทาอาการฟกบวม และอาการคัน
เมล็ด
เมล็ด : ใช้เป็นยาขับถ่าย ส่วนเมล็ดแก่ใช้เป็นยาระบาย เป็นยารักษาอาการไอขับเสมหะ
ฝักอ่อน
ฝักอ่อน : ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ และใช้ขับผายลม
ราก
ราก : จะมีรสฝาดเย็นขมเล็กน้อย ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ เจริญอาหาร ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร รักษาโรคบิด ท้องร่วง รักษาโรคไข้สันนิบาต และรักษาอาการอักเสบฟกบวมให้ใช้รากฝนกับน้ำปูนทา นอกจากนี้ยังใช้ ใบ ดอก ราก ลำต้น รวมกัน จะมีรสฝาดเย็น ใช้เป็นยาสมานแผล อาการอักเสบบวม รักษาโรคท้องร่วง โรคไข้เพื่อลมเพื่อเลือด และรักษาน้ำเหลืองเสีย
ถิ่นที่อยู่
พรรณไม้นี้ มักขึ้นตามที่โล่ง บริเวณชายป่าดิบ และไร่ร้างทั่วไป
ข้อมูลทางคลีนิคและทางเภสัชวิทยา
1. การทดสอบฤทธิ์ในการต่อต้านมาลาเรีย มีผลยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากรากและผลนั้น ไม่มีพิษต่อเซลล์มะเร็งชนิด CA-9KB ส่วนสกัดจากเปลือก ต้น และผลด้วยแอลกอฮอล์ และสารสกัดจากรากด้วยแอลกอฮอล์ ไม่เป็นพิษต่อหนูถีบจักร เปลือกนั้นมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบเนื่องจากฝีได้
2. ส่วนผลนั้นนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์กับน้ำ จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการบีบตัว ของกล้ามเนื้อเรียบ
3. เปลือกเพกานั้น ใช้ทำเป็น paste ใช้ในการฆ่าพยาธิ
4. มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและรักษาอาการแพ้ (Antiinflammatory and Antiallergic) พบว่ามีสารสกัดจากเปลือก สามารถลดการซึมผ่านหลอดเลือด (vascular permeability) ทำให้ลดการอักเสบบวมในหนูที่ถูกกระตุ้นให้อักเสบ โดยโปรตีนจากไข่ ฟอร์มาลินและฮีสตามิน แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการซึมผ่านหลอดเลือด ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรั่มจากม้า หรือไซลีน (xylene) นอกจากนี้สารที่สกัดได้จากเปลือกนั้น ยังมีฤทธิ์ต้านการแพ้ด้วย
คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นสามารถลดการซึมผ่านหลอดเลือด ทำให้ลดการบวมอักเสบ ในหนูที่ถูกกระตุ้นให้อักเสบ โดยโปรตีนจากไข่ ฟอร์มาลิน และฮีสตามีน แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง การซึมผ่านหลอดเลือด (Vascular permeability) ในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (Xylene) นอกจากนี้สารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อฉีดสารสกัดเปลือกต้นและผลด้วยแอลกอฮอล์และน้ำ (1:1) เข้าหนู ขนาดสูงสุดที่ไม่เป็นอันตรายคือ 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นำส่วนสารสกัด 3 ส่วนของสารสกัดเปลือกด้วยแอลกอฮอล์ 70% มาทดสอบพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง พบว่าขนาดที่ป้อนหนู 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่วนสกัดทุกส่วนทำให้เกิดพิษทั้ง 2 กรณี แต่จากการฉีดส่วนสกัดส่วนที่ 1 และ 2 พบว่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวของหนู
ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบสารสกัดจากเปลือกเพกาด้วยความเข้มข้น 2 มิลลิกรัม/plate กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และ TA100 พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
รวมความแล้วก็สรุปได้ว่า
ฝักลิ้นฟ้ากินเป็นผักเคียงกับป่น หรือน้ำพริกจิ้มต่าง ๆ
โดยนำเอาฝักมาเผาไฟ หรือลวกน้ำร้อนก่อนรับประทาน
เพื่อลดความขมที่มีอยู่ในฝักสด
การรับประทานฝักลิ้นฟ้าถือได้ว่าเป็นการบริโภคสมุนไพร
ฝักอ่อน ขับลม ฝักแก่ แก้ร้อนในกระหายน้ำ
เมล็ดแก่ ระบายท้อง แก้ไอ ขับเสมหะ
เปลือกต้น สมานแผล แก้ร้อนใน แก้ท้องร่วง ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ ดับพิษโลหิต ตำผสมสุราพ่นตามตัวสตรี ที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ให้ผิวหนังชา ตำผสมกับน้ำส้มมดแดงกับ เกลือสินเธาว์ รับประทานขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากแก้ซาง เม็ดสีเหลือง แก้ละออง แก้ซางเด็ก ทาแก้ฝี แก้ฟกบวม ราก บำรุงธาตุ ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้อักเสบฟกบวม ทั้งห้า สมานแผล แก้อักเสบฟกบวม แก้ท้องร่วง แก้ไข้เพื่อขับลมและโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย
เพกา สรรพคุณและประโยชน์ของเพกา
57 ประการ




[B]เพกา สรรพคุณและประโยชน์ของเพกา 57 ประการ[/B]
1.สมุนไพรเพกาช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอการเสื่อมของเซล์ต่างๆในร่างกาย (ฝักอ่อน)
2.ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และช่วยชะลอวัย (ฝักอ่อน)
3.ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (ฝักอ่อน)
4.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ (ฝักอ่อน)
5.ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ราก,ฝักอ่อน,เพกาทั้ง 5 ส่วน)
6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ราก,ใบ)
7.ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากหญ้าคา รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนอาหาร เช้าและเย็น (เปลือก)
8.การรับประทานฝักเพาหรือยอดอ่อนเพกาจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ (ฝัก,ยอดอ่อน)
9.ช่วยบำรุงโลหิต (เปลือกต้น)
10.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต (เปลือกต้น)
11.ช่วยขับเลือดดับพิษในโลหิต (เปลือกต้น)
12.การกินฝักอ่อนของเพกาจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น (ฝักอ่อน)
13.ใช้แก้ร้อนใน (ฝักแก่)
14.ช่วยบรรเทาอาการปวดไข้ ด้วยการใช้ใบเพกาต้มน้ำดื่ม (ใบ)
15.สรรพคุณทางยาของเพกา ช่วยแก้ไข้สันนิบาต (ราก)
16.ช่วยแก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด (เพกาทั้ง 5 ส่วน)
17.ช่วยแก้ละอองไข้ หรือโรคเยื่อเมือกในช่องจมูกอักเสบ (เปลือกต้นตำผสมกับสุรา)
18.ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ ด้วยการใช้เมล็ดแก่เพกาประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆ จนเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น (ฝัก อ่อน,เมล็ด)
19.สรรพคุณเพกาช่วยขับเสมหะ ด้วยการใช้เมล็ดแก่เพกาประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ในหม้อที่เติมน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆ จนเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น (ฝักอ่อน,เปลือกต้น,เมล็ด)
20.ช่วยแก้อาเจียนไม่หยุด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกาตำผสมกับน้ำส้มที่ได้จากรังมดแดงหรือเกลือสินเธาว์ (เปลือกต้นสด)
21.ช่วยเรียกน้ำย่อย (ราก)
22.สรรพคุณของเพกาช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก (เมล็ด)
23.ช่วยบำรุงกระเพาะ ตับ และปอด (เมล็ด)
24.ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้ใบเพกาต้มกับน้ำดื่ม (ใบ)
25.ช่วยแก้อาการจุกเสียกแน่นท้อง (เปลือกต้น)
26.ช่วยแก้โรคบิด (เปลือกต้น,ราก)
27.เพกา สรรพคุณช่วยรักษาท้องร่วง (เปลือกต้น,ราก,เพกาทั้ง 5 ส่วน)
28.ช่วยขับลมในลำไส้ (เปลือกต้น,ใบ)
29.ใช้เป็นยาขับถ่าย ช่วยระบายท้อง (เมล็ด)
30.ช่วยในการขับผายลม (ฝักอ่อน)
31.ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น (เปลือกต้น)
32.ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย ทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ(เปลือกต้น,เพกาทั้ง 5 ส่วน)
33.เพกา สรรพคุณทางยาช่วยลดการอักเสบ อาการแพ้ต่างๆ (เปลือกต้น)
34.สรรพคุณใช้เป็นยาฝาดสมาน ช่วยสมานแผล (เปลือกต้น,เพกาทั้ง 5 ส่วน)
35.ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวม อักเสบ ด้วยการใช้เปลือกต้นหรือรากเพกากับน้ำปูนใสทาลดบริเวณที่เป็น (เปลือกต้น,ราก,เพกาทั้ง 5 ส่วน)
36.สรรพคุณของเพกาช่วยรักษาฝี ลดอาการปวดฝี ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาฝนแล้วทาบริเวณรอบๆบริเวณที่เป็นฝี (เปลือกต้น)
37.ช่วยแก้อาการคัน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น (เปลือกต้น)
38.ใช้เป็นยาแก้พิษหมาบ้ากัด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกานำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด (เปลือกต้น)
39.ช่วยแก้โรคงูสวัด ด้วยการใช้ เปลือกต้นเพกา เปลือกคูณ รากต้นหมูหนุน นำมาฝนใส่น้ำทาบริเวณที่เป็น จะช่วยให้หายเร็วขึ้น (เปลือกต้น)
40.เปลือกต้นมีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหนูทดลอง (เปลือกต้น)
41.เปลือกต้นผสมกับสุราใช้กวาดปากเด็ก ช่วยแก้พิษซางได้ (เปลือกต้น)
42.แก้โรคไส้เลื่อน (ลูกอัณฑะลง) ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก นำมาตำรวมกันให้ละเอียด แล้วนะไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด ใช้ขนไก่ชุบพาด นำมาทาลูกอัณฑะ ให้ทาขึ้นอย่าทาลง (เปลือกต้น)
43.ช่วยแก้องคสูตร (โรคที่เกิดเฉพาะในบุรุษ มีอาการเจ็บที่องคชาตและลูกอัณฑะ) ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น (เปลือกต้น)
44.ช่วยแก้โรคมานน้ำ หรือภาวะที่มีน้ำขังอยู่ในช่องท้องจำนวนมาก เปลือกต้นผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น (เปลือกต้น)
45.เปลือกต้นตำผสมกับสุราใช้ฉีดพ่นตามตัวหญิงคลอดบุตรที่ทนอาการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา (เปลือกต้น)
46.ช่วยแก้ละอองขึ้นในปาก คอ และลิ้น หรืออาการฝ้าขาวที่ขึ้นในปาก (เปลือกต้นตำผสมกับสุรา)
47.ช่วยขับน้ำคาวปลา (เปลือกต้น)
48.ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น (เปลือกต้น)
49.ฝักอ่อนใช้รับประทานเป็นผัก (ฝักอ่อน)
50.เชื่อว่าการกินเพกาจะไม่ทำให้เจ็บป่วย มีเรี่ยวมีแรงและช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย (ฝัก)
51.ผงเปลือกผสมกับ ขมิ้นชัน ใช้เป็นยาแก้ปวดหลังของม้าได้ (เปลือก)
52.ใช้เมล็ดเพกาผสมกับน้ำจับเลี้ยงดื่ม จะช่วยทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมน่าดื่มมากขึ้น และจะช่วยทำให้ชุ่มคอและรู้สึกสดชื่น (เมล็ด)
53.การใส่เปลือกต้นเพกา ลงไปในอาหารจะช่วยแก้เผ็ด แก้เปรี้ยวได้ (ใส่เปลือกต้นผสมกับมะนาว มะนาวก็ไม่เปรี้ยว) (เปลือกต้น)
54.ประโยชน์ของเพกา เปลือกของลำต้นนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า ซึ่งให้สีเขียวอ่อน (เปลือกต้น)
55.ประโยชน์เพกา เนื้อไม้ของเพกามีสีขาวละเอียดมีความเหนียว เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำงานแกะสลักต่างๆ
56.นิยมรับประทานฝักอ่อนหรือยอดอ่อนของเพกาเป็นผัก ส่วนดอกนิยมนำมาต้มหรือลวกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ หรือจะนำฝักอ่อนไปหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆทำเป็นแกง ผัด หรือทำเป็นก็ได้ (ฝักมีรสขม ต้องนำไปเผาไฟให้สุกจนผิวนอกไหม้เกรียม และขูดผิวที่ไหม้ไฟออกจะช่วยลดรสขมได้)
57.เพกา ประโยชน์นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของยาสมุนไพรสำเร็จรูป หรือที่เรียกว่า แคปซูลเพกา ก็สะดวกไปอีกแบบสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก
อ้างอิง :
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี rspg.or.th
doctor.or.th
bloggang.com (วิชิต สุวรรณปรีชา)
gotoknow.org (ขจิต ฝอยทอง)
มหัศจรรย์สมุนไพรจีน
สมุนไพร กานพลู
กานพลู
ชื่อสามัญ : clove
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Syzygium aromaticum (Linn.) Merr & Perry.,
Eugenia caryophyllus (Spreng.) Bullock & S. G. Harrison.,
Eugenia aromatica Ktze.
ชื่อวงศ์ : MYYRTACEAE
ชื่ออื่น ๆ : กานพลู (ภาคกลาง), ดอกจันทร์(เชียงใหม่),จั่นจี่

ลักษณะของกานพลู
กานพลู เป็นไม้ยืนต้นมีลักษณะดังนี้นะคะ
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูง ราว9-15 เมตร ผิวของมันเป็นสีเหลืองน้ำตาล
ใบ : ใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวของใบเรียบมัน ค่อนข้างหนา ใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 2 นิ้ว รูปลักษณะของมันปลายและโคนใบแหลม เป็นรูปยาวรี
ดอก : ดอกเป็นสีเขียวอมแดงเลือดหมู หรือสีขาวอมเขียว ดอกจะออกเป็นกระจุก หรือเป็นช่อ ประมาณ 15-20 ดอก คล้ายดอกขจร
ผล : ผลมีสีน้ำตาลเข้ม ผลของมันมีขนาดยาวประมาณ 1 ซม. และมีขนาดยาวประมาณ1 ซม. และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.4 ซม.
การขยายพันธุ์
กานพลูขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง นำไปปลูกในดินร่วนซุย หรือในดินที่มีปุ๋ย อินทรีย์วัตถุ ต้องการน้ำปานกลาง
ส่วนที่นำมาใช้
ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ก็คือดอกของกานพลู
ดอก ซึ่งมีรสเผ็ด ใช้เป็นยาแก้พิษโลหิต แก้ปวดท้อง แก้ลมเป็นเหน็บชา แก้พิษน้ำเหลือง น้ำคาวปลา แก้อุจจาระให้เป็นปรกติ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน แก้หืดละลายเสมหะ ดับกลิ่นปาก แก้รัตตปิตตโรค เป็นต้น
ดอกเมื่อตากแห้งแล้ว เป็นสีแดงน้ำตาล นำมากลั่นใช้ 0.12-0.3 กรัม หรือ 2-5 เกรน จะเป็นยาแก้ท้องขึ้นธาตุพิการขับผายลมในลำไส้ เป็นยาบำรุง และน้ำมันจากการพลูซึ่งกลั่นออกมา ใช้เป็นยาระงับกระดูก แก้ปวดท้อง ขับผายลม และใช้สำลีชุบนำมาอุดฟันที่ปวด
ถิ่นที่อยู่
ปลูกมากในบริเวณ เกาะสุมาตรา เกาะทะเลอินเดีย เกาะมอล็อกกา ประเทศอเริกา ประเทศแอฟริกา และประเทศไทย
คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ กานพลู มีสารยูจีนอลซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin
ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็น สาเหตุอาการแน่นจุกเสียด
น้ำมันกานพลูสามารถฆ่าเชื้อ E. coli , Salmonella typhosa , Vibrio corumma และ Chick chloera
และยังฆ่าเชื้อ แบคทีเรียในอาหารกระป๋องด้วย จึงใช้เป็น preservative
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการแน่นจุกเสียด พบสารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกานพลู คือ ยูจีนอล
ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ กานพลูมีสาร eugenol มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่
ฤทธิ์ขับลม กานพลูช่วยขับลม เนื่องจากฤทธิ์ของ eugenol
ฤทธิ์ขับน้ำดี สารสกัดกานพลูด้วยอะซีโตน มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ขับน้ำดี พบว่า eugenol ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย
ฤทธิ์ป้องกันเยื่อบุกระเพาะ มี eugenol ซึ่งกระตุ้นให้มีการหลั่ง mucin มาป้องกันเยื่อบุกระเพาะ
ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ กานพลู มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงช่วยลดอาการปวดเกร็ง
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ พบสาร eugenol ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
การทดสอบความเป็นพิษ
พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งของ eugenol ในหนูขาว หนูตะเภา และหนูถีบจักร = 2.68, 2.13 และ 3 กรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่วนขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งในหนูขาว = 1.8 ซี.ซี. หรือ 1.93 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้อนให้หนูขาว อาการเป็นพิษที่พบ คือ มีอาการเป็นอัมพาต โดยเริ่มที่ขาหลัง และกรามล่าง ส่วนอาการเป็นอัมพาตที่ขาหน้าจะเป็นเมื่ออาการโคม่า หรือเหนื่อยมากๆ อาจมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว มีอาการน้ำคั่ง
ถ้าให้หนูขาวกิน eugenol 0.1% 24 ซี. ซี .และ 1% 6 ซี.ซี. พบว่ามีการทำลายตับอ่อน ขาดไขมันในช่องท้อง ต่อมไธมัสมีขนาดเล็กลง ม้ามโต และต่อมในกระเพาะอาหารฝ่อ ส่วนพิษในสุนัข พบว่าเมื่อกรอก eugenol เข้ากระเพาะ อุณหภูมิร่างกายลด ชีพจรเต้นแรง แต่อัตราการหายใจไม่เปลี่ยน อาจมีการอาเจียนเมื่อให้ขนาด 2.5 กรัม/10 กิโลกรัม ขนาดสูงสุดที่ให้คือ 5 กรัม/10 กิโลกรัม จะพบอาการพิษดังกล่าวถึง 65% อาจพบการเคลื่อนไหวของขาหลังผิดปกติ และพบว่าเมื่อให้ขนาดสูงสุด อาจทำให้สุนัขตายได้ 2 ใน 6 ขนาดที่ปลอดภัย คือ 0.2 กรัม/กิโลกรัม แม้จะให้ถึง 10 ครั้ง ในช่วง 3 สัปดาห์ ก็ไม่พบอันตราย
การฉีด eugenol เข้าระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรง ทำให้ความดันโลหิต และการเต้นของหัวใจลดลงชั่วขณะ โดยไม่ทำให้อัตราการเต้นเปลี่ยนแปลง การฉีด eugenol เข้าหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากกว่าปกติ Eugenol ทำให้โปรตีนในเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อนในปากถูกทำลาย การจับตัวของเซลล์ลดลง บวม และเกิดเป็นไต ชั้นใต้ผิวหนังชั้นนอกบวม กล้ามเนื้ออ่อนแอ
ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยน้ำของกานพลู และส่วนผสมของกานพลูกับคาเฟอีน ไม่ทำให้แมงหวี่ตัวผู้ Drosophila melanogaster ก่อกลายพันธุ์
ประโยชน์ของกานพลู
1 ประโยชน์ทาง อาหาร
นักสมุนไพรสมัยใหม่นิยมใช้กานพลูเป็นยาช่วยย่อย อาหาร โดยใช้ผงกานพลู 1 ช้อนชา ทำเป็นชาชง ดื่มวันละ 3 ครั้ง แต่ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ส่วนเด็กที่โตขึ้นหรือคนสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปลดลงตามส่วน ซึ่งนอกจากจะช่วยย่อยแล้วกานพลูยังช่วยรักษาอาการแพ้ได้ดี โดยใช้ชงดื่มตามวิธีข้างต้นร่วมกับการรับประทานยาแก้แพ้
ส่วนในตำรายาไทยมีการนำทุกส่วนของกานพลูมาใช้เป็นยา เช่น เปลือกต้น ใช้แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ ใบใช้แก้ปวดมวนท้อง ดอกตูมใช้รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น ดอกกานพลูแห้ง (ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยของดอกกานพลู) รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการแก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอแก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดดับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน
2 ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่ใช้เป็นยาของกานพลูที่นิยมกันมากคือดอกตูม มีการใช้ทั้งส่วนที่เป็นดอกตูมแห้ง กับส่วนที่เป็นน้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมนั้นมีบันทึกการใช้ดอกตูมของกานพลูเป็นยามาตั้งแต่ 207 ปี ก่อนคริสต์ศักราช คือในสมัยราชวงศ์ฮั่น จักรพรรดิจีน จะอมดอกกานพลูไว้ในปากเพื่อดับกลิ่นปาก หมอจีนได้มีการนำกานพลูมาใช้เป็นยาอย่างยาวนาน โดยใช้ในการเป็นยา ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้ไส้เลื่อน แก้กลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต เช่นเดียวกับหมออายุรเวทของอินเดีย ที่มีการใช้ดอกตูมของกานพลูมาอย่างยาวนานเช่นกัน โดยใช้ในโรคระบบทางเดินหายใจและใช้ในการช่วยย่อย
เรื่องของกานพลู (ไม่ใช่ก้านพลู นะคะ) ถือว่าเป็นสารประโยชน์มาก
และทราบว่าราคาแพงมากด้วยค่ะ
ชื่อสามัญ : clove
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Syzygium aromaticum (Linn.) Merr & Perry.,
Eugenia caryophyllus (Spreng.) Bullock & S. G. Harrison.,
Eugenia aromatica Ktze.
ชื่อวงศ์ : MYYRTACEAE
ชื่ออื่น ๆ : กานพลู (ภาคกลาง), ดอกจันทร์(เชียงใหม่),จั่นจี่


ลักษณะของกานพลู
กานพลู เป็นไม้ยืนต้นมีลักษณะดังนี้นะคะ
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูง ราว9-15 เมตร ผิวของมันเป็นสีเหลืองน้ำตาล
ใบ : ใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวของใบเรียบมัน ค่อนข้างหนา ใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 2 นิ้ว รูปลักษณะของมันปลายและโคนใบแหลม เป็นรูปยาวรี
ดอก : ดอกเป็นสีเขียวอมแดงเลือดหมู หรือสีขาวอมเขียว ดอกจะออกเป็นกระจุก หรือเป็นช่อ ประมาณ 15-20 ดอก คล้ายดอกขจร
ผล : ผลมีสีน้ำตาลเข้ม ผลของมันมีขนาดยาวประมาณ 1 ซม. และมีขนาดยาวประมาณ1 ซม. และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.4 ซม.
การขยายพันธุ์
กานพลูขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง นำไปปลูกในดินร่วนซุย หรือในดินที่มีปุ๋ย อินทรีย์วัตถุ ต้องการน้ำปานกลาง
ส่วนที่นำมาใช้
ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ก็คือดอกของกานพลู
ดอก ซึ่งมีรสเผ็ด ใช้เป็นยาแก้พิษโลหิต แก้ปวดท้อง แก้ลมเป็นเหน็บชา แก้พิษน้ำเหลือง น้ำคาวปลา แก้อุจจาระให้เป็นปรกติ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน แก้หืดละลายเสมหะ ดับกลิ่นปาก แก้รัตตปิตตโรค เป็นต้น
ดอกเมื่อตากแห้งแล้ว เป็นสีแดงน้ำตาล นำมากลั่นใช้ 0.12-0.3 กรัม หรือ 2-5 เกรน จะเป็นยาแก้ท้องขึ้นธาตุพิการขับผายลมในลำไส้ เป็นยาบำรุง และน้ำมันจากการพลูซึ่งกลั่นออกมา ใช้เป็นยาระงับกระดูก แก้ปวดท้อง ขับผายลม และใช้สำลีชุบนำมาอุดฟันที่ปวด
ถิ่นที่อยู่
ปลูกมากในบริเวณ เกาะสุมาตรา เกาะทะเลอินเดีย เกาะมอล็อกกา ประเทศอเริกา ประเทศแอฟริกา และประเทศไทย
คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ
ฤทธิ์ลดการอักเสบ กานพลู มีสารยูจีนอลซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin
ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็น สาเหตุอาการแน่นจุกเสียด
น้ำมันกานพลูสามารถฆ่าเชื้อ E. coli , Salmonella typhosa , Vibrio corumma และ Chick chloera
และยังฆ่าเชื้อ แบคทีเรียในอาหารกระป๋องด้วย จึงใช้เป็น preservative
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการแน่นจุกเสียด พบสารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกานพลู คือ ยูจีนอล
ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ กานพลูมีสาร eugenol มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่
ฤทธิ์ขับลม กานพลูช่วยขับลม เนื่องจากฤทธิ์ของ eugenol
ฤทธิ์ขับน้ำดี สารสกัดกานพลูด้วยอะซีโตน มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ขับน้ำดี พบว่า eugenol ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย
ฤทธิ์ป้องกันเยื่อบุกระเพาะ มี eugenol ซึ่งกระตุ้นให้มีการหลั่ง mucin มาป้องกันเยื่อบุกระเพาะ
ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ กานพลู มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงช่วยลดอาการปวดเกร็ง
สารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ พบสาร eugenol ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
การทดสอบความเป็นพิษ
พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งของ eugenol ในหนูขาว หนูตะเภา และหนูถีบจักร = 2.68, 2.13 และ 3 กรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่วนขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งในหนูขาว = 1.8 ซี.ซี. หรือ 1.93 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้อนให้หนูขาว อาการเป็นพิษที่พบ คือ มีอาการเป็นอัมพาต โดยเริ่มที่ขาหลัง และกรามล่าง ส่วนอาการเป็นอัมพาตที่ขาหน้าจะเป็นเมื่ออาการโคม่า หรือเหนื่อยมากๆ อาจมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว มีอาการน้ำคั่ง
ถ้าให้หนูขาวกิน eugenol 0.1% 24 ซี. ซี .และ 1% 6 ซี.ซี. พบว่ามีการทำลายตับอ่อน ขาดไขมันในช่องท้อง ต่อมไธมัสมีขนาดเล็กลง ม้ามโต และต่อมในกระเพาะอาหารฝ่อ ส่วนพิษในสุนัข พบว่าเมื่อกรอก eugenol เข้ากระเพาะ อุณหภูมิร่างกายลด ชีพจรเต้นแรง แต่อัตราการหายใจไม่เปลี่ยน อาจมีการอาเจียนเมื่อให้ขนาด 2.5 กรัม/10 กิโลกรัม ขนาดสูงสุดที่ให้คือ 5 กรัม/10 กิโลกรัม จะพบอาการพิษดังกล่าวถึง 65% อาจพบการเคลื่อนไหวของขาหลังผิดปกติ และพบว่าเมื่อให้ขนาดสูงสุด อาจทำให้สุนัขตายได้ 2 ใน 6 ขนาดที่ปลอดภัย คือ 0.2 กรัม/กิโลกรัม แม้จะให้ถึง 10 ครั้ง ในช่วง 3 สัปดาห์ ก็ไม่พบอันตราย
การฉีด eugenol เข้าระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรง ทำให้ความดันโลหิต และการเต้นของหัวใจลดลงชั่วขณะ โดยไม่ทำให้อัตราการเต้นเปลี่ยนแปลง การฉีด eugenol เข้าหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากกว่าปกติ Eugenol ทำให้โปรตีนในเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อนในปากถูกทำลาย การจับตัวของเซลล์ลดลง บวม และเกิดเป็นไต ชั้นใต้ผิวหนังชั้นนอกบวม กล้ามเนื้ออ่อนแอ
ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยน้ำของกานพลู และส่วนผสมของกานพลูกับคาเฟอีน ไม่ทำให้แมงหวี่ตัวผู้ Drosophila melanogaster ก่อกลายพันธุ์
ประโยชน์ของกานพลู
1 ประโยชน์ทาง อาหาร
นักสมุนไพรสมัยใหม่นิยมใช้กานพลูเป็นยาช่วยย่อย อาหาร โดยใช้ผงกานพลู 1 ช้อนชา ทำเป็นชาชง ดื่มวันละ 3 ครั้ง แต่ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ส่วนเด็กที่โตขึ้นหรือคนสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปลดลงตามส่วน ซึ่งนอกจากจะช่วยย่อยแล้วกานพลูยังช่วยรักษาอาการแพ้ได้ดี โดยใช้ชงดื่มตามวิธีข้างต้นร่วมกับการรับประทานยาแก้แพ้
ส่วนในตำรายาไทยมีการนำทุกส่วนของกานพลูมาใช้เป็นยา เช่น เปลือกต้น ใช้แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ ใบใช้แก้ปวดมวนท้อง ดอกตูมใช้รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น ดอกกานพลูแห้ง (ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยของดอกกานพลู) รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการแก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอแก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดดับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน
2 ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่ใช้เป็นยาของกานพลูที่นิยมกันมากคือดอกตูม มีการใช้ทั้งส่วนที่เป็นดอกตูมแห้ง กับส่วนที่เป็นน้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมนั้นมีบันทึกการใช้ดอกตูมของกานพลูเป็นยามาตั้งแต่ 207 ปี ก่อนคริสต์ศักราช คือในสมัยราชวงศ์ฮั่น จักรพรรดิจีน จะอมดอกกานพลูไว้ในปากเพื่อดับกลิ่นปาก หมอจีนได้มีการนำกานพลูมาใช้เป็นยาอย่างยาวนาน โดยใช้ในการเป็นยา ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้ไส้เลื่อน แก้กลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต เช่นเดียวกับหมออายุรเวทของอินเดีย ที่มีการใช้ดอกตูมของกานพลูมาอย่างยาวนานเช่นกัน โดยใช้ในโรคระบบทางเดินหายใจและใช้ในการช่วยย่อย
เรื่องของกานพลู (ไม่ใช่ก้านพลู นะคะ) ถือว่าเป็นสารประโยชน์มาก
และทราบว่าราคาแพงมากด้วยค่ะ
สมุนไพร พลูคาว (Plu Kaow)
พลูคาว หรือ
ก้านตอง
สมุนไพรพื้นบ้าน โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่มีประโยชน์มากมายเชียวละ ทั้งเกี่ยวกับมะเร็ง ติดเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ภูมิคุ้มกัน ANTI-INFLAMMATION
โดยมีการวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโนโลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น
นักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี
สมุนไพรพื้นบ้าน โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่มีประโยชน์มากมายเชียวละ ทั้งเกี่ยวกับมะเร็ง ติดเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ภูมิคุ้มกัน ANTI-INFLAMMATION
โดยมีการวิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโนโลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น
นักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี
เรามารู้จักกับ พลูคาว หรือก้านตอง สมุนไพรไทยที่ลือลั่น มีชื่อเสียงมากมายในปัจจุบันนี้

พลูคาว หรือก้านตอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Houttuynia cordata Thunb.
วงศ์ Saururaceae
ชื่ออื่นๆ
คาวตอง(ลำปาง,อุดร) คาวทอง(มุกดาหาร,อุตรดิตถ์) ผักก้านตอง(แม่ฮ่องสอน) ผักเข้าตอง,ผักคาวตอง,ผักคาวปลา(ภาคเหนือ) พลูคาว(ภาคกลาง)
พลูคาว
เป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย ซึ่งถือเป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็นชาวบ้านในเขตภาคเหนือจะเรียกว่า “ผักคาวตอง” เนื่องจากต้นและใบจะมีกลิ่นคาวรุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นเครื่องเคียงอาหารสดๆ เช่น ลาบ ซ่า ก้อย ซกเล็ก เป็นต้น ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าอาหารสดๆ เหล่านั้นจะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และตัวพลูคาวนี้จะเข้าไปช่วยสร้างความสมดุล และยับยั้งไม่ให้มะเร็งลุกลาม ถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีสารในการต้านมะเร็ง สังเกตได้ว่าประชากรในภาคเหนือเป็น “ โรคมะเร็ง” ค่อนข้างน้อยเนื่องจากบริโภคพลูคาวเป็นประจำ
ลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของพลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาว
สมุนไพรพลูคาวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง
โรคมะเร็งเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรง เกิดจากเซลล์สูญเสียคุณสมบัติที่เรียกว่า Contact
Inhibition ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ก้อนใหญ่ เรียกว่า “เนื้องอก” สามารถแพร่กระจาย (Metastasis) ไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ ระยะแรกมักไม่แสดงอาการเจ็บปวด เมื่อมะเร็งโตขึ้น ร่างกายจะทรุดโทรมจนถึงแก่ชีวิตได้
1. ฤทธิ์การทำลายเซลล์มะเร็ง 5 ชนิด คือ เซลล์มะเร็งปอด (HUMANLONG DADNOCARCINOMA) ,เซลล์มะเร็งรังไข่ (HUMAN OVARIAN ADENOCARCINOMA), เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายในสมอง (HUMAN CNS CARCINOMA),เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (HUMAN COLON ADENOCARCINOMA) และเซลล์มะเร็งต่อมไทรอยด์
2. ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (LEUKEMIC CALL LINES)
3. ฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งอื่นๆ
สมุนไพรพลูคาวกับไวรัส
โรคที่เกิดจากไวรัสแบ่งเป็นการติดเชื้อ 3แบบคือ
1. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเฉียบพลัน เช่นไข้ทรพิษ, หัด, หัดเยอรมัน, หวัด, ตาอักเสบ เป็นต้น
2. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเป็นๆหายๆ เช่น เริม งูสวัด เป็นต้น
3. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเรื้อรัง เช่น HOV โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น
สมุนไพรพลูคาวสามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส POLLOVIRUS AND COXSACKIEVIRUS โรค ที่เกิดจากไวรัสในไก่ โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง เช่นหวัด ไข้หวัดนก คางทูม ต่อมทอลซินอักเสบ และปอดอักเสบในเด็ก
สมุนไพรพลูคาวกับเชื้อรา
รา เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งแบ่งเป็น2กลุ่ม คือ เซลล์เดียวหรือยีสต์ UNICELLULAR FUNGI OR TEAST และเซลล์หลายเซลล์หรือโมลด์ FILAMENTOUS FUNGI OR MOLD ราเป็นสาเหตุของโรคที่เกิดกับผิวหนัง สมุนไพรพลูคาวสามารถรักษา กลาก เกลื้อน สังคัง ฮ่องกงฟุต สะเก็ดเงิน โรคปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา CRYPTOCOCCUS NEOFORMANS
สมุนไพรพลูคาวกับแบคทีเรีย
โรค ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียมีหลากหลายแตกต่างกัน ตามชนิดของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของโรค และขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ สมุนไพร พลูคาวสามารถป้องกัน อาการท้องเดิน ท้องเสีย ท้องเดินปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อทางเดินหายใจ ฝี โรคทางเดินอาหาร โรคปริทันต์ โรคในระบบสืบพันธุ์ โรคติดเชื้อในช่องปาก สิว โรคผิวหนัง กลาก ขี้เรื้อนกวาง
สมุนไพรพลูคาวกับการอักเสบ ANTI-INFLAMMATION
สมุนไพร พลูคาวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการซึมผ่านเส้นเลือดฝอยของของเหลว หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ปวดฟัน ขับปัสสาวะ DIUERTIC ACTIVITY
สมุนไพรพลูคาวกับภูมิคุ้มกัน
ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรค หรือมีความต้านทานโรค ไม่ให้โรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย สมุนไพรพลูคาวช่วยบำบัดอาการไอ จาม อักเสบ หอบหืด ATOPIC ECZEMA โรคหวัดเรื้อรัง โรคข้ออักเสบ รูมาตอยต์ โรคข้ออักเสบ HIV มะเร็ง ผู้ได้รับสารกดภูมิคุ้มกัน
สมุนไพรพลูคาวกับโรคอื่นๆ
เบา หวาน ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตอักเสบ เนื้อปอดพองลม ปวดขัดเบา ลดไข้ ขจัดสารพิษ เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคผิวหนังโรคติดเชื้อต่าง ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ต้านการจับตัวของเกร็ดเลือด โพรงจมูกอักเสบ ควบคุมระบบการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เร็วขึ้น
จากการวิจัย
คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น พลูคาว ได้วิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโนโลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น
ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า สีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี
หลัง จากที่สกัดเป็นยาน้ำ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมแล้ว
ได้นำยามาทดลองในผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิด คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ Soft tissue sarcoma โดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี
ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาการของผู้ป่วยดี ขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว
ผลการวิจัยสรรพคุณของพลูคาว

เมื่อนำมาต้มโดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้น ทำให้อาทีมนักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงนำเอาศาสตร์พื้นบ้านนี้มาเป็นพื้นฐาน ด้วยการนำพลูคาวมาสกัดเป็นตัวยาหลักนำไปช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง... โดยมี “กระชายแดง” และสมุนไพรอื่นๆอีกเป็นส่วนผสม... ผลปรากฏว่าสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งไว้ได้... หลังอยู่ในสภาพที่สิ้นความหวังไปแล้ว
ผศ.ดร.วิจิตร เกิดผล จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หนึ่งในคณะนักวิจัย เปิดเผยว่า...
หลังจากที่มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการนำสมุนไพร พลูคาวมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิต และผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย
ใช้กรรมวิธีการหมักและผสมผสาน ระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย กับนาโนเทคโนโลยี NanoTechnology...
ล่าสุดทีมวิจัยยังนำเอาเห็ดหลินจือ เข้ามาเป็นยาร่วม ดำเนินการผลิต ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพ ที่ชื่อ Vilac Plus...
เมื่อทดลองให้ผู้ป่วยมะเร็งดื่มยาน้ำสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว พบว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยได้สูงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในรักษาได้มากขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา
ส่งผลให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามได้นานขึ้น
ในการนี้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังได้จัดทำโครงการวิจัยเรื่อง “การทดสอบฤทธิ์ความเป็นพิษของ Vilac Plus ต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย (Leukemia)” ขณะเดียวกันยังจะศึกษาวิจัยในผู้ป่วย “ธาลัสซีเมีย” ควบคู่ไปด้วยใช้ระยะเวลาดำเนินการวิจัยประมาณ 2 ปี
ทางด้าน นายสุริยา วิจิตรโชติ นักวิจัยภาคเอกชน ได้ทำการวิจัยและผลิตน้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพจากพลูคาวนี้ขึ้นมา บอกว่า...
สรรพคุณของพลูคาว 65 ประการ


พลูคาว สรรพคุณของพลูคาว 65 ประการ
พลูคาว
พลูคาว (Plu Kaow)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Houttuynia cordata Thunb.
จัดเป็นไม้ล้มลุก พบได้ทั่วไปในแถบทวีปเอเชียในแถบเทือกเขาหิมาลัยไปจนถึงเวียดนาม ญี่ปุ่น รวมถึงไทยด้วยซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในทางภาคเหนือ
เนื่องจากลักษณะของต้นที่มีกลิ่นคาวจึงเรียกกันในท้องถิ่นว่า ผักคาวตอง (ลำปาง,อุดรธานี) คาวทาง (อุตรดิตถ์,มุกดาหาร) ผักก้านตอง (แม่ฮ่องสอน) ผักคาวปลา , ผักเข้าตอง , ผักคาวตอง (ภาคเหนือ) ส่วนภาคกลางมักจะนิยมเรียกว่า พลูคาว
วิธีใช้ทั้งต้นแห้งประมาณ 15-30 กรัม (ต้นสด 30-60 กรัม) นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วนำมาต้มน้ำให้เดือดประมาณ 5 นาทีแล้วนำมาดื่ม แต่หากใช้ร่วมกับสมุนไพรหรือยาชนิดอื่น ให้ต้มยาอื่นให้เดือดก่อนจึงใส่ยาต้มให้เดือด การรับประทานถ้ามากเกินไปอาจจะทำให้หัวใจสั้นและถี่ อาจเป็นอันตรายได้
สรรพคุณของพลูคาว
1.มีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
2.มีฤทธิ์ในการช่วยบำบัดฟื้นฟู โรคความดันโลหิตสูง
3.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้านทานโรคช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้อยู่สู้โรคได้นานมากขึ้น
4.สรรพคุณของคาวตองมีส่วนช่วยยับยั้งเบาหวาน รักษาความสมดุลของร่างกาย
5.ช่วยทำให้กระดูกเชื่อมติดกันเร็วขึ้น (ต้นสด)
6.ช่วยรักษาปริมาณของเหลวในร่างกาย
7.ช่วยรักษาอาการหูชั้นกลางอักเสบ (ทั้งต้น)
8.ใช้รักษาโรคติดเชื้อและทางเดินหายใจ (ต้น)
9.ประโยชน์ของผักคาวตองช่วยแก้ไข้ (ใบ)
10.ช่วยรักษาโรคไข้มาลาเรีย (ต้น)
11.ใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้นใช้ทารักษาและช่วยต้านเชื้อโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่
12.ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาช่วยรักษาอาการติดเชื้อเฉียบพลัน ติดเชื้อทางเดินหายใจ
13.ใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้นใช้ทารักษาคางทูม ต่อมทอนซิลอักเสบ และปอดอักเสบในเด็ก
14.คาวตองสรรพคุณช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ทั้งต้น)
15.มีส่วนช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวช่วยรักษาภาวะภูมิแพ้ หอบหืด
16.ช่วยรักษาโรคไอกรน (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
17.ช่วยรักษาการอักเสบชนิดธรรมดาบริเวรแก้วตา (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
18.ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ (ทั้งต้น)
19.ช่วยรักษาโรคหลอดลมขยายตัวมากเกินไป (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
20.ช่วยรักษาอาการปอดบวม ปอดอักเสบ (ทั้งต้น)
21.ช่วยรักษาฝีหนองในปอด (ต้น)
22.ช่วยรักษาอาการคั่งน้ำในอกจากโรคมะเร็ง (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
23.ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ทั้งต้น)
24.สรรพคุณพลูคาวใช้เป็นยาระบาย อาหารไม่ย่อย (ใบ)
25.รักษาอาการท้องเสีย (ใบ)
26.ใช้แก้โรคบิด (ต้น,ใบ,ทั้งต้น)
27.ช่วยขับพยาธิ (ใบ)
28.ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ราก,ทั้งต้น)
29.ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (ทั้งต้น)
30.ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร (ต้นสด,ใบ,ทั้งต้น)
31.ช่วยรักษาโรคหนองใน (ใบ)
32.ใช้ปรุงเป็นยาแก้กามโรค (ใบ)
33.ช่วยรักษานิ่ว (ต้น)
34.ช่วยแก้โรคไต (ใบ)
35.ช่วยรักษาอากรไตผิดปกติ (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
36.ช่วยรักษาโรคตับอักเสบชนิดดีซ่าน (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
37.ช่วยขับระดูขาว (ต้น)
38.ช่วยรักษาแผลอักเสบคอมดลูก (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
39.ช่วยรักษาการอักเสบบริเวณกระดูกเชิงกราน (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
40.ช่วยแก้โรคข้อ (ใบ)
41.ช่วยรักษาโรคหัด (ใบ)
42.ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ (ต้นสด,ใบ)
43.ช่วยรักษาผื่นคัน ฝีฝักบัว (ต้นสด)
44.มีฤทธิ์ช่วยระงับอาการปวด
45.ช่วยห้ามเลือด
46.มีฤทธิ์ต้านการอักเสบต่างๆ
47.ใช้พอกฝี บวมอักเสบ (ต้นสด,ทั้งต้น)
48.ช่วยรักษาบาดแผล (ต้นสด)
49.ช่วยรักษาแผลเปื่อย (ต้นสด)
50.ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น (ใบ)
51.ใช้พอกแผลที่ถูกงพิษกัด (ต้นสด)
52.ช่วยป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด (ประยุกต์ใช้ทางการแพทย์)
53.ใบสดผิงไฟพอนิ่มใช้พอกเนื้องอกต่าง (ใบ)
54.มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส
55.ประโยชน์ของพลูคาวช่วยยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสชนิดต่างๆเช่น ไข้ทรพิษ หัด งูสวัด เริม เอดส์ (HIV)
56.แก้โรคน้ำกัดเท้า
57.ในประเทศจีนใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาช่วยป้องกันและรักษาโรคที่เกิดจากไวรัสในไก่ โดยใช้ผสมในอาหารที่ใช้เลี้ยงไก่
58.ใบสดใช้ป้องกันปลาเน่าเสีย (ใบ)
59.ใบนำมารับประทานเป็นผักสด
60.ใบสดต้มน้ำนำมารดต้นข้าว ข้าวสาลี ต้นฝ้าย ป้องกันพืชเป็นโรคเหี่ยวเฉาตาย
61.ใช้ขับทากที่ตายในท้อง (ดอก)
62.เหมาะกับผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น
63.เหมาะกับผู้ที่ต้องการ detox ล้างพิษออกจากร่างกายป้องกันโรคร้าย ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้โรคต่าง ๆ มีอาการดีขึ้น และหายจากอาการของโรคต่างๆได้ในที่สุด
64.ใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือการฉายรังสี จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้น้อยลง
65.ประโยชน์พลูคาวใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางประเภทครีมทาแก้ผิวหนังแห้งหยาบกร้าน ป้องกันผิวหนังแตก
แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)