วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

สมุนไพร กานพลู

กานพลู


ชื่อสามัญ : clove

ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Syzygium aromaticum (Linn.) Merr & Perry.,
Eugenia caryophyllus (Spreng.) Bullock & S. G. Harrison.,
Eugenia aromatica Ktze.

ชื่อวงศ์ : MYYRTACEAE

ชื่ออื่น ๆ : กานพลู (ภาคกลาง), ดอกจันทร์(เชียงใหม่),จั่นจี่










ลักษณะของกานพลู




กานพลู เป็นไม้ยืนต้นมีลักษณะดังนี้นะคะ


ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูง ราว9-15 เมตร ผิวของมันเป็นสีเหลืองน้ำตาล


ใบ : ใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวของใบเรียบมัน ค่อนข้างหนา ใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 2 นิ้ว รูปลักษณะของมันปลายและโคนใบแหลม เป็นรูปยาวรี


ดอก : ดอกเป็นสีเขียวอมแดงเลือดหมู หรือสีขาวอมเขียว ดอกจะออกเป็นกระจุก หรือเป็นช่อ ประมาณ 15-20 ดอก คล้ายดอกขจร


ผล : ผลมีสีน้ำตาลเข้ม ผลของมันมีขนาดยาวประมาณ 1 ซม. และมีขนาดยาวประมาณ1 ซม. และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.4 ซม.



การขยายพันธุ์


กานพลูขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง นำไปปลูกในดินร่วนซุย หรือในดินที่มีปุ๋ย อินทรีย์วัตถุ ต้องการน้ำปานกลาง


ส่วนที่นำมาใช้

ส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ก็คือดอกของกานพลู


ดอก ซึ่งมีรสเผ็ด ใช้เป็นยาแก้พิษโลหิต แก้ปวดท้อง แก้ลมเป็นเหน็บชา แก้พิษน้ำเหลือง น้ำคาวปลา แก้อุจจาระให้เป็นปรกติ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน แก้หืดละลายเสมหะ ดับกลิ่นปาก แก้รัตตปิตตโรค เป็นต้น


ดอกเมื่อตากแห้งแล้ว เป็นสีแดงน้ำตาล นำมากลั่นใช้ 0.12-0.3 กรัม หรือ 2-5 เกรน จะเป็นยาแก้ท้องขึ้นธาตุพิการขับผายลมในลำไส้ เป็นยาบำรุง และน้ำมันจากการพลูซึ่งกลั่นออกมา ใช้เป็นยาระงับกระดูก แก้ปวดท้อง ขับผายลม และใช้สำลีชุบนำมาอุดฟันที่ปวด



ถิ่นที่อยู่

ปลูกมากในบริเวณ เกาะสุมาตรา เกาะทะเลอินเดีย เกาะมอล็อกกา ประเทศอเริกา ประเทศแอฟริกา และประเทศไทย



คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ


ฤทธิ์ลดการอักเสบ กานพลู มีสารยูจีนอลซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin


ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็น สาเหตุอาการแน่นจุกเสียด
น้ำมันกานพลูสามารถฆ่าเชื้อ E. coli , Salmonella typhosa , Vibrio corumma และ Chick chloera


และยังฆ่าเชื้อ แบคทีเรียในอาหารกระป๋องด้วย จึงใช้เป็น preservative


สารสำคัญในการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการแน่นจุกเสียด พบสารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกานพลู คือ ยูจีนอล


ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ กานพลูมีสาร eugenol มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่

ฤทธิ์ขับลม กานพลูช่วยขับลม เนื่องจากฤทธิ์ของ eugenol

ฤทธิ์ขับน้ำดี สารสกัดกานพลูด้วยอะซีโตน มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย

สารสำคัญในการออกฤทธิ์ขับน้ำดี พบว่า eugenol ช่วยขับน้ำดีจึงช่วยย่อย

ฤทธิ์ป้องกันเยื่อบุกระเพาะ มี eugenol ซึ่งกระตุ้นให้มีการหลั่ง mucin มาป้องกันเยื่อบุกระเพาะ

ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ กานพลู มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงช่วยลดอาการปวดเกร็ง


สารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ พบสาร eugenol ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้



การทดสอบความเป็นพิษ


พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งของ eugenol ในหนูขาว หนูตะเภา และหนูถีบจักร = 2.68, 2.13 และ 3 กรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่วนขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งในหนูขาว = 1.8 ซี.ซี. หรือ 1.93 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้อนให้หนูขาว อาการเป็นพิษที่พบ คือ มีอาการเป็นอัมพาต โดยเริ่มที่ขาหลัง และกรามล่าง ส่วนอาการเป็นอัมพาตที่ขาหน้าจะเป็นเมื่ออาการโคม่า หรือเหนื่อยมากๆ อาจมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว มีอาการน้ำคั่ง


ถ้าให้หนูขาวกิน eugenol 0.1% 24 ซี. ซี .และ 1% 6 ซี.ซี. พบว่ามีการทำลายตับอ่อน ขาดไขมันในช่องท้อง ต่อมไธมัสมีขนาดเล็กลง ม้ามโต และต่อมในกระเพาะอาหารฝ่อ ส่วนพิษในสุนัข พบว่าเมื่อกรอก eugenol เข้ากระเพาะ อุณหภูมิร่างกายลด ชีพจรเต้นแรง แต่อัตราการหายใจไม่เปลี่ยน อาจมีการอาเจียนเมื่อให้ขนาด 2.5 กรัม/10 กิโลกรัม ขนาดสูงสุดที่ให้คือ 5 กรัม/10 กิโลกรัม จะพบอาการพิษดังกล่าวถึง 65% อาจพบการเคลื่อนไหวของขาหลังผิดปกติ และพบว่าเมื่อให้ขนาดสูงสุด อาจทำให้สุนัขตายได้ 2 ใน 6 ขนาดที่ปลอดภัย คือ 0.2 กรัม/กิโลกรัม แม้จะให้ถึง 10 ครั้ง ในช่วง 3 สัปดาห์ ก็ไม่พบอันตราย


การฉีด eugenol เข้าระบบไหลเวียนโลหิตโดยตรง ทำให้ความดันโลหิต และการเต้นของหัวใจลดลงชั่วขณะ โดยไม่ทำให้อัตราการเต้นเปลี่ยนแปลง การฉีด eugenol เข้าหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากกว่าปกติ Eugenol ทำให้โปรตีนในเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อนในปากถูกทำลาย การจับตัวของเซลล์ลดลง บวม และเกิดเป็นไต ชั้นใต้ผิวหนังชั้นนอกบวม กล้ามเนื้ออ่อนแอ


ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยน้ำของกานพลู และส่วนผสมของกานพลูกับคาเฟอีน ไม่ทำให้แมงหวี่ตัวผู้ Drosophila melanogaster ก่อกลายพันธุ์



ประโยชน์ของกานพลู


1 ประโยชน์ทาง อาหาร


นักสมุนไพรสมัยใหม่นิยมใช้กานพลูเป็นยาช่วยย่อย อาหาร โดยใช้ผงกานพลู 1 ช้อนชา ทำเป็นชาชง ดื่มวันละ 3 ครั้ง แต่ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ส่วนเด็กที่โตขึ้นหรือคนสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปลดลงตามส่วน ซึ่งนอกจากจะช่วยย่อยแล้วกานพลูยังช่วยรักษาอาการแพ้ได้ดี โดยใช้ชงดื่มตามวิธีข้างต้นร่วมกับการรับประทานยาแก้แพ้
ส่วนในตำรายาไทยมีการนำทุกส่วนของกานพลูมาใช้เป็นยา เช่น เปลือกต้น ใช้แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ ใบใช้แก้ปวดมวนท้อง ดอกตูมใช้รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น ดอกกานพลูแห้ง (ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยของดอกกานพลู) รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการแก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอแก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็ก แก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดดับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน
2 ประโยชน์ทางยา


ส่วนที่ใช้เป็นยาของกานพลูที่นิยมกันมากคือดอกตูม มีการใช้ทั้งส่วนที่เป็นดอกตูมแห้ง กับส่วนที่เป็นน้ำมันที่ได้จากการกลั่นดอกตูมนั้นมีบันทึกการใช้ดอกตูมของกานพลูเป็นยามาตั้งแต่ 207 ปี ก่อนคริสต์ศักราช คือในสมัยราชวงศ์ฮั่น จักรพรรดิจีน จะอมดอกกานพลูไว้ในปากเพื่อดับกลิ่นปาก หมอจีนได้มีการนำกานพลูมาใช้เป็นยาอย่างยาวนาน โดยใช้ในการเป็นยา ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้ไส้เลื่อน แก้กลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต เช่นเดียวกับหมออายุรเวทของอินเดีย ที่มีการใช้ดอกตูมของกานพลูมาอย่างยาวนานเช่นกัน โดยใช้ในโรคระบบทางเดินหายใจและใช้ในการช่วยย่อย



เรื่องของกานพลู (ไม่ใช่ก้านพลู นะคะ) ถือว่าเป็นสารประโยชน์มาก
และทราบว่าราคาแพงมากด้วยค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น